ข้าคือจักรพรรดิเซียน
บทที่ 11 คุณสมบัติ
บทที่ 11 คุณสมบัติ
“น้องชายท่านนี้หน้าไม่คุ้น ไม่ทราบว่าเป็นท่านใด?”
“พี่เขย เขาเป็นสามีของหวางเยนหรันชื่อ มู่หยุน” หวังเชาที่อยู่ถัดจากเสิ่นเล่อแนะนำขึ้น
“อ้อ? ที่แท้ก็คือคนจากหมู่บ้านตระกูลมู่ที่แต่งเข้าบ้านเจ้าสาวคนนั้น?” เสิ่นเล่อถามทั้งๆ ที่รู้ด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
หวังเชาที่อยู่ข้างๆ รีบประจบประแจงขึ้นมา “ก็ใช่น่ะสิ เป็นเชาเอง แต่ว่าหมู่บ้านตระกูลมู่น่ะถูกพังราบเป็นหน้ากลองไปนานแล้ว เขาไปเป็นทหารมาอยู่หลายปีก่อนจะโดนไล่ออก ตอนนี้ล้วนอาศัยเมตตาจากลุงหวาง”
เสิ่นเล่อแค่นเสียงเยาะเย้ยและส่ายหัว “ไม่มีตาเลยสักนิด ไม่น่าถึงได้ถูกไล่ออกมา”
“ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเขาเลย พวกเรานั่งกันเถอะ” หวางเสี้ยงตงเหลือบมองมู่หยุนก่อนจะนั่งลงอย่างฮึดฮัด
ฝูงชนนั่งลงอีกครั้ง เสิ่นเล่อถูกจัดให้นั่งอยู่ที่ด้านข้างของหวางเสี้ยงตง
เสิ่นเล่อมองมู่หยุนอย่างประเมิน และถามด้วยรอยยิ้ม “มู่หยุน นายมีหน้าที่อะไรในกองทัพ? ตั้งห้าปี อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้บัญชาการกองร้อยแล้วละมั้ง?”
คำถามเดียวกันกลับมาอีกครั้ง
มู่หยุนส่ายหัว “ไม่ค่อยดีที่จะพูด”
“ไม่ค่อยดีที่จะพูด? มีอะไรไม่ดีกัน เป็นอะไรก็พูดอย่างนั้น เพิ่งจะเคยได้ยินคำว่า ไม่ค่อยดีที่จะพูด แบบนี้” เสิ่นเล่อเย้ยหยัน สายตาที่มองมู่หยุนเต็มไปด้วยความหยอกล้อ
“เล่อเล่อ นายอย่าไปทำให้น้องเขยลำบากใจเลย ฉันได้ยินมาว่าเขาถูกไล่ออกจากกองทัพ ตำแหน่งอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น”
หวางหรงเอ่ยแนะนำอย่าง “ใจดี” เธอมองไปที่ท่าทางอับอายของหวางเยนหรัน ในใจมีความสุขอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้านไหนๆ เธอก็เอาชนะฉันได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกัน? ยังไงก็แต่งงานกับขยะคนหนึ่งอยู่ดี
คนที่โต๊ะก็พากันหัวเราะขึ้นมา พวกเขามองดูมู่หยุนอย่างดูถูกเหยียดหยาม ในใจยิ่งรู้สึกถึงความเหนือกว่าของตนอย่างยิ่ง
“พี่เขย อย่ามัวแต่พูดถึงเรื่องของไอ้ขยะแต่งเข้านี่อยู่เลย ได้ยินมาว่าช่วงนี้คุณยุ่งไม่น้อย” หวังเชาถามด้วยรอยยิ้ม
เสิ่นเล่อหัวเราะร่า จากนั้นจึงรับแก้วน้ำที่หวางหรงส่งมาให้และดื่มอย่างเอื่อยเฉื่อย จากนั้นจึงแกล้งจงใจเอ่ยขึ้นอย่างกังวล “ใช่น่ะสิ ปลายปีแล้ว ท่านอธิบดีสุขภาพไม่ดี ได้แต่อาศัยฉันมาช่วยแก้ปัญหาหยุมหยิมพวกนั้น เอ๊ะทำไมพวกพ่อตาถึงยังไม่มาล่ะ?”
ยังไม่ทันที่คนข้างๆ จะได้เอ่ยตอบ ซุนจิ้งก็รีบเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “พวกเขาน่ะหรือ ตอนนี้กำลังประชุมกับเจ้าเมืองอยู่ เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับแขกชั้นสูง ไหนเลยจะมีเวลามาทานข้าว นี่นายไม่รู้หรอกหรือเนี่ย?”
เสิ่นเล่อหน้าแข็งไปก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เขามองหวางเยนหรัน แล้วรีบเบี่ยงประเด็น “เยนหรันช่วงนี้ทบทวนเป็นยังไงบ้าง พรุ่งนี้ต้องเข้าสอบแล้วใช่ไหม?”
“ไม่เลวค่ะ ขอบคุณพี่เขยที่เป็นห่วง”
เสิ่นเล่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้กรมสรรพากร ตระกูลหวางของเรามีรายชื่ออยู่สองที่ เธอจะต้องขยันๆ หน่อยล่ะ อย่าทำให้พวกเราผิดหวัง”
คำพูดของเสิ่นเล่อ กระตุ้นความสนใจของผู้คนรอบข้างทันที
หวังเชาเอ่ยอย่างสงสัย “ไม่ได้บอกว่าตระกูลหวางของเรามีแค่รายชื่อเดียวหรอกหรือ ทำไมจู่ๆ ถึงได้มีสองรายชื่อ”
หวางเยนหรันดวงตาเป็นประกายขึ้นมา ครั้งนี้พี่สาวหวางหรงและเธอเข้าสอบด้วยกัน หากตระกูลหวางมีเพียงรายชื่อเดียว คุณปู่ย่อมเห็นแก่หน้าของเสิ่นเล่อและยกตำแหน่งให้กับหวางหรง
แต่ตอนนี้มีสองรายชื่อแล้ว อย่างนี้ก็เท่ากับเธอสามารถเข้ากรมสรรพากรได้แล้ว!
ต้องรู้ก่อนว่า อธิบดีกรมสรรพากรก็คือ หวางตงซานน้องชายของหวางตงเหอ เมื่อเข้าสู่กรมสรรพากร ก็เท่ากับเข้าสู่พื้นที่ของตระกูลหวาง ซึ่งจะช่วยในอาชีพทางราชการได้เป็นอย่างมาก
ในเวลานี้เอง หวางเสี้ยงตงก็กระแอมในลำคอและยิ้ม “แต่เดิมตระกูลหวางของพวกเรามีแค่รายชื่อเดียว แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์เล็กน้อยที่เล่อเล่อหามาให้ ทำให้ได้รับมาอีกรายชื่อ”
ทั้งโต๊ะหันไปมองเสิ่นเล่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
สามารถเพิ่มรายชื่อได้อีกรายชื่อ ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ความสัมพันธ์ของผู้คนนั้นกลับเป็นเรื่องซับซ้อนอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับการกระจายผลประโยชน์สู่หลาย ๆ ฝ่าย ไม่ใช่เรื่องที่จะได้มาโดยบังเอิญได้
ต้องเข้าใจก่อนว่าการที่ตระกูลหวางได้รายชื่อเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรายชื่อ ย่อมหมายถึงอำนาจทางราชการที่มากขึ้นไปด้วย ซึ่งจะทำให้ตระกูลมีเสถียรภาพมากขึ้น
ดังนั้นด้วยในการเรียกของหวางเสี้ยงตง ทุกคนจึงยกแก้วดื่มให้เล่อเล่อพร้อมกัน
หากเป็นแก้วเหล้าจริงๆ จะต้องดื่มให้แก่ผู้มีอำนาจก่อน
“ขอบคุณพี่เขย” หวางเยนหรันยิ้มอย่างมีความสุข
“เยนหรันขี้เกรงใจเกินไปแล้ว” เสิ่นเล่อยิ้มอบอุ่น นัยน์ตาที่มองไปยังรูปลักษณ์ของหวางเยนหรันเปล่งประกายความโลภ
แต่ความโลภที่พาดผ่านไป ทุกคนบนโต๊ะไม่ทันสังเกตเห็น มีเพียงมู่หยุนเท่านั้น ที่ยิ้มหยัน
ท่ามกลางบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ หวางเสี้ยงตงเอ่ยกำชับหวางหรงและหวังเชา “ดังนั้น พรุ่งนี้หรงหรง เธอกับเสี่ยวเชาจะต้องตั้งใจสอบให้ดีๆ แม้ว่าจะมีการกำหนดโควต้าเอาไว้แล้ว แต่ก็อย่าได้สอบให้แน่จนเกินไป”
“หา ยังมีผม! ” หวังเชาตะลึง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์
“ขอบคุณครับคุณปู่! ”
หวางเยนหรันถอนหายใจในใจ สีหน้าร้อนผ่าว รู้สึกละอายใจ
“ที่แท้ก็ไม่มีฉัน...”
“คุณปู่ เท่าที่ผมรู้มา พรุ่งนี้คือเยนหรันและหวางหรงจะไปสอบเข้ารับราชการ ส่วนหวังเชายังไม่จบการศึกษา จะเข้ารับตำแหน่งได้อย่างไร?”
ทันใดนั้นมู่หยุนก็พูดขึ้น
แต่ไหนเลยจะรู้ว่าผู้คนกลับพูดคุยหัวเราะกัน ไม่มีใครสนใจมู่หยุนสักนิด
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ หวังเชาก็ยิ้มร่าและพูดว่า "ไอ้ลูกหมาเร่ร่อนหมู่บ้านตระกูลมู่ เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ?”
“แกก็แค่ขยะแต่งเข้าบ้านเจ้าสาว สามารถนั่งอยู่ตรงนี้ได้ก็ถือเป็นบุญของนายแล้ว ยังกล้าเอ่ยคำพูดไม่รู้จักที่ฟ้าสูงดินต่ำขึ้นมาอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของน้องเยนหรัน ฉันคงเข้าไปอุดจมูกเน่าๆ ของแกแน่”
ฝูงชนที่โต๊ะหัวเราะขึ้นมา
“ไม่หัดมองตำแหน่งของตัวเองซะบ้าง ยังกล้าพูดขึ้นมาอีก”
“ไม่รู้จักละอายแก่ใจ”
“เสี่ยวเชาด่าคนเป็นชุดๆ ขนาดนี้ ต่อไปจะต้องเป็นเจ้าคนนายคนได้อย่างแน่นอน”
หวางหรงหยิบเนื้อสัตว์ในชามหวังเชา “ฉันคิดว่านายคนนี้คงจะว่างมากไปหน่อย ไม่งั้น เล่อเล่อ คุณหางานสักตำแหน่ง ให้คุณมู่...มู่อะไรนะ ช่างเถอะ หางานขนย้ายอิฐให้เขาสักหน่อย จะได้ลดพวกคนมีตาหามีแววได้”
เสิ่นเล่อยิ้มเหยียดหยาม “เธอคิดว่างานขนย้ายอิฐเป็นเรื่องง่ายหรือไง? อาศัยคนแบบเขา จุ๊จุ๊ ฉันว่าวันหนึ่งก็คงหาเงินได้แค่ไม่เท่าไหร่”
“ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น จะได้ไม่อดตายไง”
ในเวลานี้เองหวางเสี้ยงตงก็เอ่ยปาก “มู่หยุน นายกำลังสั่งสอนฉันงั้นหรือ?”
ทั้งโต๊ะจู่ๆ ก็เงียบลงทันที
เจ้าบ้านคือเจ้าบ้าน ตระกูลหนึ่งมีเจ้าบ้านเพียงคนเดียว เจ้าบ้านเอ่ยขึ้น ย่อมไม่ควรเป็นที่สงสัย
“เรื่องของเจ้าบ้าน คงไม่ต้องให้นายมาชี้นิ้วแนะนำ นายควรรู้สถานะของตนเอง เข้าใจไหม?”
มู่หยุนหัวเราะเยาะ ขณะคิดจะเอ่ยปากก็เห็นหวางเยนหรันที่อยู่ข้างๆ ตาแดงก่ำ สีหน้าอ้อนวอนตนเองด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ผมเข้าใจแล้วคุณปู่”
“เยนหรัน ครั้งนี้ฉันคิดดีแล้ว เธอเข้ากรมทรัพยากรน้ำเถอะ ที่นั่นเงียบสงบ ไม่มีอะไรมารบกวนให้วุ่นวาย”
“ค่ะ คุณปู่” หวางเยนหรันเอ่ยสะอื้น
กรมทรัพยากรน้ำแห่งนี้ไหนเลยจะเงียบสงบ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเหมือนคลื่นใต้น้ำ เข้าไปแล้วทั้งชีวิตอยู่ต้องอยู่แบบนั้น หากไม่มีเรื่องก็ดีไป แต่หากเกิดภัยธรรมชาติและภัยพิบัติจากมนุษย์อะไรขึ้นมาก็ต้องกลายเป็นที่รองหม้อ
หวางเสี้ยงตงราวกับมองไม่เห็นน้ำตาของหลานสาว เขาหันไปพูดคุยและหัวเราะกับเสิ่นเล่อต่อ
ในห้องกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผู้คนเริ่มดื่มและพูดคุยหัวเราะกัน พวกซุนจิ้งกลายเป็นไม้ประดับไปอย่างสิ้นเชิงราวกับเป็นเพียงธาตุอากาศในห้อง
มู่หยุนบีบมือของหวางเยนหรันเบาๆ เขากระซิบที่หูของเธอแล้วพูดว่า “อย่าร้องไห้ มีพี่มู่อยู่”
หวางเยนหรันน้ำตาไหลพรากขึ้นมา ในใจน้อยใจสุดจะบรรยาย
มู่หยุนหยิบกระดาษออกไปช่วยเช็ดน้ำตาให้เธอ
“ร้องร้องร้อง เอาแต่ร้องไห้ ไร้ประโยชน์จริงๆ เลย พวกเธอไปกินข้าวตรงนู้นไป” ซุนจิ้งหงุดหงิดอย่างยิ่ง และชี้ไปโต๊ะของคนรับใช้
หวางเยนหรันลุกขึ้นและออกจากโต๊ะไป โดยมีมู่หยุนตามไปติดๆ
ทั้งสองเดินตรงไปที่สนามหลังบ้าน
“ฮืออ...” หวางเยนหรันสะอื้นไห้ เธอโกรธจนน้ำตาไหลไม่หยุด
มู่หยุนยืนอยู่ข้างๆ มือกำแน่น ใบหน้าถมึงทึง ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยือกตลอดเวลา
หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องได้เห็นมู่หยุนที่แตกต่างออกไปจากยามปกติอย่างแน่นอน
“เยนหรัน...” มู่หยุนยังพูดไม่จบ กลับถูกหวางเยนหรันตัดบทเสียก่อน “ไม่ต้องสนใจฉัน ปล่อยให้ฉันอยู่เงียบๆ”
มู่หยุนถอนหายใจเงียบๆ ไม่พูดต่อ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หวางเยนหรันก็ค่อยระบายออกจนหมด เธอค่อยๆ หยุดร้องไห้ลงและเอ่ยเสียงเบส “พี่มู่ ฉันหวังว่าพี่จะสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ ฉันไม่คิดอยากหย่ากับพี่”
“แต่ว่า ถ้าพี่ยังไม่เปลี่ยน หนทางของพวกเราคงไปได้ไม่ไกลแล้ว”
หวางเยนหรันเอ่ย เธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้วหันหลังเข้าไปยังอาคาร
ไม่มีใครอยากให้สามีของตนถูกด่าว่าเป็นขยะอยู่ทุกวัน ถูกคนดูหมิ่นเหยียดหยาม
มู่หยุนไม่ได้เดินตามไป เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าขุ่นมัว
ตระกูลหวาง นี่เป็นทางที่พวกนายเลือกเอง
อย่าได้โทษว่าฉันโหดร้าย!
จนกระทั่งงานเลี้ยงสิ้นสุดลง มู่หยุนถึงค่อยกลับเข้าไปในอาคารและจากไปพร้อมกับซุนจิ้ง
เขานิ่งเงียบตลอดทาง เมื่อลงจากรถเมื่ออยู่ด้านนอกคฤหาสน์ตระกูลหวาง
ตามหลักการแล้ว เขาสามารถอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลหวางได้ แต่ซุนจิ้งกลับไม่มีความตั้งใจจะรั้งให้เขาอยู่สักนิด “ไม่ส่งล่ะ”
หลังจากน้ำเสียงเย็นชาของซุนจิ้ง ประตูคฤหาสน์ก็ปิดลงทันที
มู่หยุนเอ่ยข้ามประตู “พรุ่งนี้เธอต้องไปสอบ เดี๋ยวฉันมารับ”
เสียงฝีเท้าด้านในประตูเดินจากไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีใครตอบรับ
มู่หยุนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมา แก้ไขข้อความและส่งออกไป
“เอาคุณสมบัติของ หวังเชาและ หวางหรงเปลี่ยนเป็นหวางเยนหรัน”
ไม่นานนัก เขาก็ได้รับข้อความตอบกลับ “รับทราบ นายพลหยุน”
ข้าคือจักรพรรดิเซียน