ข้าคือจักรพรรดิเซียน
บทที่ 4 หนึ่งเดือน
บทที่ 4 หนึ่งเดือน
นี่เป็นครั้งที่สองที่มู่หยุนพูดแบบนี้
เห็นได้ชัดว่า คนเหล่านี้อยู่ในรายชื่อคนตายไปแล้วเรียบร้อย
คำพูดที่เย็นชา แม้มู่หยุนจะยังไม่ทันได้ทำอะไร แต่บรรยากาศอันเย็นยะเยือกลึกลับกลับทำให้ซุนเฉิงสั่นสะท้านขึ้นมา ในใจของเขาราวกับถูกมืออันเยียบเย็นกอบกุมเอาไว้ ราวกับความตายกำลังใกล้เข้ามา
“อ๊าก!” ซุนเฉิงอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะสะดุดล้มลงบนพื้นไปทันที
“นายกำลังทำอะไร?” หวางตงเหอและซุนจิ้งยืนขึ้นมาพร้อมกันและจ้องมองไปที่มู่หยุน สีหน้าเคร่งเครียด ราวกับกำลังมองไปที่ศัตรู
แขนทั้งสองของมู่หยุนถูกหวางเยนหรันกอดเอาไว้แน่น ได้ยินเสียงทำอะไรไม่ถูก และดวงตาที่กำลังอ้อนวอนอย่างร้อนรนของเธอ สายตาของเขามองไปที่หวางตงเหอ และกวาดดูใบหน้าของซุนจิ้ง ราวกับกำลังจดจำสีหน้าของพวกเขาเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
ในที่สุดก็หยุดลงที่ตัวของซุนเฉิง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก
“เห็นแก่หน้าของเยนหรัน”
หลังจากคำพูดของมู่หยุน รังสีฆ่าฟันในห้องก็สลายไปทันที จนหลายคนในบ้านเกือบคิดไปว่ามันเป็นเพียงความเข้าใจผิด
ซุนจิ้งมองไปที่มู่หยุน และแสดงความรังเกียจออกมาอีกครั้ง เธอพึมพำ “ฉันก็คิดไปว่าจะมีดีอยู่บ้าง จุ๊จุ๊ ขยะ”
ในตอนนี้เองหวางตงเหอกระแอมในลำคอและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “มู่หยุน เกี่ยวกับเรื่องหมู่บ้านตระกูลมู่ของพวกนาย นายคิดจะทำยังไงต่อไป?”
หลังจากได้ฟัง มู่หยุนก็ยิ้มอย่างเรียบๆ “หนี้เลือด ย่อมต้องชดใช้ด้วยเลือด”
ซุนเฉิงที่นั่งถัดจากซุนจิ้ง หลังจากได้ยินก็หัวเราะออกมา “นายรู้รึเปล่าว่าตระกูลหลี่ทำอะไร?”
“ ชดใช้ด้วยเลือด ฮ่าฮ่า ไม่รู้จักฟ้าดิน”
แม้กระทั่งซุนจิ้งยังถูกทำให้โมโหจนต้องส่ายหน้า เธอแอบคิดเงียบๆ ว่าเจ้าเด็กนี้ไปเป็นทหารจนโง่ไปแล้วหรือไง
มู่หยุนส่ายหัว “ฉันไม่จำเป็นต้องรู้”
สำหรับมู่หยุน แต่รู้ว่าเป็นใครก็พอแล้ว ส่วนเรื่องฐานะ ตำแหน่ง และภูมิหลังเป็นอย่างไร พวกนี้ล้วนไม่สำคัญ
คนตายจะมีฐานะอะไร? ยังมีตำแหน่งอะไรได้อีก?
หวางตงเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย “โอ้? ไม่รู้ว่าห้าปีผ่านมานี้มู่หยุน นายดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการอะไรในกองทัพ?
เท่าที่ฉันรู้ ตำแหน่งทางทหารสามารถสืบทอดต่อไปได้หลังจากเกษียณอายุ และแม้จะกลับภูมิลำเนาเดิมก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นไม่ต่ำลง”
ถ้าสามารถมีตำแหน่งทางทหารได้สักอย่างหนึ่ง อย่างน้อยตระกูลหลี่ก็ต้องเกรงกลัวอยู่บ้าง
มู่หยุนพยักไหล่ “พูดไม่ได้อยู่บ้าง..”
อาศัยฐานะของหวางตงเหอ แม้กระทั่งชื่อของแปดกองทัพหยุนเทียนผู้ก็ยังไม่รู้จัก นับประสาอะไรกับจอมพลแปดกองทัพอย่างเขา?
พูดไปก็คงคิดว่าเป็นแค่การเอ่ยเล่นๆ ไม่มีใครเชื่อ
“ห้าปี แม้กระทั่งตำแหน่งในกองทัพยังไม่มี มู่หยุน อย่าหาว่าแม่ยายอย่างฉันว่านายเลย แต่นายมีหน้ากลับมาได้ยังไงกัน?”
“นายคู่ควรกับเยนหรันหรือไง?”
“ปึก” ซุนจิ้งพูดพลางวางสร้อยข้อมือลูกประคำลงบนโต๊ะน้ำชา พลางเหลือบมองไปยังหวางตงเหอ โกรธที่เขายืนกรานให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับมู่หยุน ตัวซวยขนาดนี้ ดวงพิฆาตพ่อ แถมยังไม่มีแม่”
“คุณน้าซุน อันที่จริงกองทัพก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าไปได้ ที่คนเขาต้องการคือนายพลที่แข็งแกร่ง ถึงแม้จะเข้าไปไม่นาน แต่คุณมู่สามารถอยู่ได้นานขนาดนี้ก่อนจะถูกเตะออกมาได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
“อย่าไปทำให้เขาลำบากใจเลย หรือไม่งั้น คุณมู่มาช่วยงานที่บ้านฉันไหม?”
“พวกทำงานต่อสู้ได้เดือนละ 4000 หยวน เห็นแก่หน้าเยนหรัน ฉันจะให้นาย 8000 หยวน รวมกินรวมอยู่ เป็นไง?”
หวางตงเหอส่งเสียง ฮึ ออกมา “ข้อเสนอแนะนี้มู่หยุนนายลองพิจารณาดูสักหน่อย ตระกูลซุนเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่เมืองเจียง ต้องการคนที่รู้จักต่อสู้ มู่หยุนนายเคยเป็นทหารมาก่อน สามารถออกหมัดมวยได้”
“อีกทั้งไปช่วยที่นั่น ก็ถือเป็นการช่วยนาย”
“ตระกูลหลี่ต้องการควบคุมนาย ก็ยังต้องพิจารณาความคิดเห็นของตระกูลซุน”
มู่หยุนหัวเราะเยาะขึ้น ไม่เอ่ยอะไร
“กองกำลังตระกูลซุนแตกต่างกันมาก เสียดายที่ฉันไม่ใช่คนตระกูลซุน” ซุนจิ้งมองซุนเฉิง สีหน้ายิ้มใจดี ราวกับนแม่ยายมองลูกเขยเข้าบ้าน ยิ่งมองยิ่งดูสบายตา
“ทำไม ป้าซุน ผมเห็นคุณเป็นแม่บุญธรรมมาตั้งนานแล้ว ไม่งั้นวันไหนให้พ่อผมรับคุณเป็นน้องสาวบุญธรรม พวกเราก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
เมื่อพูดจบ ซุนเฉิงก็มองไปที่หวางเยนหรันโดยไม่ปิดบังความปรารถนาและกระหายในดวงตาของตนแม้แต่น้อย
“เด็กคนนี้ช่างพูดจริงๆ ไม่เหมือนคนบางคน ดีแต่ทำให้คนตกใจ” ซุนจิ้งถูกเย้าแหย่จนหัวเราะออกมา แต่ก็ยังไม่วายหันไปค่อนแคะใส่มู่หยุน
เพียงชั่วครู่ ในบ้านก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มีเพียงมู่หยุนเท่านั้นที่นั่งเฉยๆ ไม่พูดไม่จา
แต่มือของเขากลับแต่ถูกหวางเยนหรันจับเอาไว้แน่น ราวกับตอนที่ทั้งสองคนยังคงปีนภูเขาเที่ยวเล่นอยู่ด้วยกันก็มิปาน
ในเวลานี้ หวางตงเหอเคาะโต๊ะน้ำชาด้วยนิ้วของตน ทำให้หลายคนค่อยสงบลงมา จากนั้นเขาจึงเอ่ยเสียงเคร่ง “มู่หยุน ในเมื่อนายกลับมาแล้ว ฉันก็มีบางอย่างอยากจะพูดตรงๆ”
“แต่เดิมฉันอยากช่วยนายให้ผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปก่อน แล้วให้เยนหรันหย่ากับนาย”
“แต่เมื่อเห็นแม่หน้าของพ่อนาย อย่าได้หาว่าลุงหวางไม่ให้โอกาสนาย”
“เอาแบบนี้ เดือนนึง!”
“ฉันจะให้เวลานายหนึ่งเดือน ถ้านายสามารถทำความเข้าใจกับตระกูลหลี่และทำเรื่องประสบความสำเร็จอะไรขึ้นมาได้ ฉันจะอนุญาตให้นายคบหากับเยนหรันต่อ ไม่อย่างนั้น จากนี้ไปอย่ามาเรียกฉันว่าพ่อตาอีก”
พูดไป หวางตงเหอก็มองดูเวลา ก่อนจะลุกขึ้นเอ่ย “ฉันยังมีธุระ พวกนายคุยกันเถอะ”
ซุนเฉิงได้ยินก็รีบลุกขึ้นเอ่ย “คุณลุง ไม่ได้บอกว่าจะไปช้อปปิ้งด้วยกันหรือครับ?”
“วันก่อนผมเห็นนาฬิกาเรือนหนึ่งสวยมาก เหมาะกับคุณลุงมาก คุณไม่ไปก็อดลองน่ะสิ”
หวางตงเหอหัวเราะ “คราวหน้าแล้วกันนะ เจตนาดีนี้ลุงรับไว้แล้ว ช่วงนี้เจ้าเมืองกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานเลี้ยงผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพวกเราถึงเวลาก็ต้องเข้าร่วมด้วย ตอนนี้กำลังหารือเกี่ยวกับการเลือกขั้นตอนการจัดเลี้ยง”
“นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะส่งผลต่อการเติบโตของตระกูลหวางในอนาคต ไม่อาจละเลยได้”
“งานเลี้ยง? เลี้ยงใครหรือครับ หรือว่าคุยเจรจา ถึงได้เป็นทางการขนาดนี้”
หวางตงเหอส่ายหัว “ว่ากันว่าเป็นเจ้านายเก่าของเจ้าเมือง บุคคลแบบนี้ คำเดียวสามารถตัดสินชะตาของตระกูลได้ ถ้าหากตระกูลหวางของเราได้เอ่ยคำพูดเพราะๆ สักกี่ประโยค หึหึ ตระกูลหลี่จะนับเป็นตัวอะไรได้อีก?”
ซุนเฉิงถอนหายใจ “คนใหญ่คนโตที่แม้แต่เจ้าเมืองยังคิดจะเอาใจ หรือว่าจะเป็นโจวมู่ในตำนานคนนั้น?” ก็
ไม่นานนัก หวางตงเหอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทางการและออกจากบ้านไป
ซุนเฉิงหันไปเอาใจซุนจิ้ง “น้าซุน คุณคงไม่ทิ้งผมใช่ไหม ผมให้คนเลือกกี่เผ้าสีฟ้าเอาไว้ให้คุณแล้ว จะต้องเหมาะกับคุณอย่างยิ่งแน่”
“ดี ดี ดี เยนหรันเองก็ไปด้วยกันเถอะ” ซุนจิ้งพูดจบก็หันไปมองมู่หยุน รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที
มู่หยุนมองไปที่ดวงตาอ้อนวอนของเยนหรัน เขาถอนหายใจอย่างเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ไปเถอะ”
“เซ็งจริงๆ” ซุนจิ้งแค่นเสียงอย่างเย็นชา
ซุนจิ้งและหวางเยนหรันขึ้นไปชั้นบนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าในขณะที่มู่หยุนและซุนเฉิงกำลังนั่งรออยู่ในห้องรับแขก
“เด็กน้อย จำไว้ซะ หวางเยนหรันฉันกินเรียบแน่”
ซุนเฉิงมองไปที่มู่หยุนอย่างยั่วยุ และชูนิ้วกลางขึ้นใส่
มู่หยุนเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “เธอเป็นภรรยาฉัน”
“อีกไม่นานก็ไม่ใช่แล้ว”
ซุนเฉิงหัวเราะร้ายกาจ
ในเวลานั้นเอง เสียงฝีเท้าจากชั้นบนก็ดังขึ้น การเปลี่ยนชุดหวางเยนหรันก็ปล่อยผมยาวสยายลงมา ใบหน้าละเอียดยิ่งดูน่ารักน่าดึงดูดยิ่งขึ้น
ส่วนซุนจิ้ง แม้จะอายุ 40แล้ว แต่เนื่องจากการดูแลรักษาที่ดี มองดูแล้วราวกับคนอายุประมาณ 30เท่านั้น มีเสน่ห์อีกแบบ
ซุนเฉิงรีบลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน
“แม่เจ้า น้าซุน คุณกับเยนหรันอย่างกับพี่สาวน้องสาว”
คำพูดนี้ทำเอาซุนจิ้งหัวเราะขึ้นอีกครั้ง เธอแสร้งทำเป็นโกรธและดุเขา “ไม่รู้จักเด็กผู้ใหญ่”
มองดูท่าทีของเธอ ไหนเลยจะมีท่าทีถือสาขึ้นจริง
ออกจากคฤหาสน์ น้องชายของซุนเฉิงก็ขับรถคาดิลแลคเข้ามา ก่อนจะลงไปทักทายผู้คน
“คุณมู่ เพิ่งเคยขึ้นรถชั้นสูงแบบนี้ครั้งแรกล่ะสิ คุณไปนั่งข้างคนขับแล้วกัน อย่าได้ตื่นเต้นจนเมาล่ะ อ้วกขึ้นมาไม่ดี” ซุนเฉิงหัวเราะอย่างเย็นชา
“อย่างกับไม่เคยมีใครเห็น” หวางเยนหรันเหลือบมองซุนเฉิง ก่อนจะเข้าไปนั่งตำแหน่งข้างคนขับ
ซุนเฉิงมองไปที่หวางเยนหรันด้วยสายตาดุร้าย เด็กน้อย อีกไม่นานฉันจะให้เธอต้องคุกเข่าให้ฉัน
ซุนจิ้งมองมู่หยุนอย่างดูหมิ่น “เสี่ยวซุน นายมานั่งข้างน้า เดี๋ยวน้าจะคุยเรื่องเสื้อผ้าชุดนั้น”
“ได้สิครับ น้าซุนผมจะบอกคุณให้ ชุดนั้นไม่เพียงแต่ตัดเย็บอย่างประณีตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัสดุด้วย...”
ส่วนมู่หยุนที่นั่งอยู่ข้างประตู มีสีหน้าอึมครึม เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และแก้ไขข้อความที่ส่งออกไป
ข้าคือจักรพรรดิเซียน