ข้าคือจักรพรรดิเซียน

บทที่ 9 ลิงจมูกเชิดสีทอง

บทที่ 9 ลิงจมูกเชิดสีทอง

“อย่ามอง! โทรหา 110 และ 120”

แขนของมู่หยุนจับอยู่บนไหล่ของซุนจิ้งและหวางเยนหรัน ไม่ให้ทั้งสองหันหน้ากลับไป ดวงตาของเขาฉายแววล้ำลึก มุมปากทั้งสองผุดขึ้นเล็กน้อย

หวางเยนหรันหยิบมือถือออกมาอย่างตัวสั่น จากนั้นจึงกดโทรออกด้วยมืออันสั่นเทา ถึงแม้เมื่อครู่เธอจะหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ที่ก็ยังมองเห็นว่าซุนเฉิงถูกรถคันนั้นอัดเข้าไปอย่างแรง 

คนๆ หนึ่ง ราวกับมะเขือเทศที่ถูกบดอัดอย่างกะทันหัน

เลือดและเนื้อล้วนกระจายออกมาทั่วไปทั้งพื้น 

120 จะยังช่วยได้หรือ?

ส่วนซุนจิ้งที่อาการดีขึ้นมากแล้ว แต่ในใจก็ยังรู้สึกเต้นระรัว นี่เป็นครั้งแรกก็ที่เธอเห็นฉากที่น่ากลัวเช่นนี้

รอบ ๆ ค่อยๆ รายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมาก บางคนปิดตาเด็กเอาไว้ บางคนชี้มือชี้ไม้ และมีบางคนที่กำลังรีบร้อนกดโทรศัพท์มือถือแจ้งตำรวจ

ไม่นานนัก ตำรวจและรถพยาบาลก็เข้ามา

“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง?” พวกตำรวจเอ่ยอย่างตกใจ

ส่วนเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็งงเช่นกันเมื่อเห็นที่เกิดเหตุ

......

หลังจากที่ตำรวจสอบปากคำเสร็จ ทั้งสามก็ขึ้นรถแท็กซี่และกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลกวาง

ในตอนนี้ หวางตงเหอที่กำลังเดินวนไปวนมาในบ้าน เมื่อมองเห็นคนทั้งสามก็รีบเข้ามาถามอย่างรีบร้อน “ใครจะอธิบายให้ฉันฟังได้บ้าง?” 

มู่หยุนส่ายหัว ส่วนหวางเยนหรันเองก็นิ่งเงียบหน้าซีดขาว

มุมปากของซุนจิ้งขยับแต่กลับไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

“มีลิงขับรถ BMW เข้ามาชนซุนเฉิงจนตาย” หวางตงเหอคว้าผมของตนเอง รู้สึกราวกับกำลังเอ่ยเรื่องตลก

แต่ว่า นี่มันกลับเป็นเรื่องจริง

เมื่อตำรวจและหน่วยกู้ภัยมาถึง คนขับที่ยังไม่ได้ลงจากรถ BMW คันนั้นกลับเป็นลิงตัวหนึ่ง

ที่น่าโมโหที่สุดก็คือ มันเป็นถึงลิงจมูกเชิดสีทอง สัตว์สงวนสำคัญของประเทศ ....

“วันนี้ตระกูลซุนโทรหาฉันหลายครั้งแล้ว” หวางตงเหอเดินกลับไปกลับมาอย่างกระสับกระส่าย

“โทรมาแล้วยังไง? เป็นลิงที่ชน เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา? พวกเขาตระกูลซุนทำเรื่องผิดศีลธรรมเอาไว้ตั้งมากมาย นี่คือผลกรรม หรือยังคิดว่าพวกเราตระกูลหวางจะกลัวเขา?”

“ถ้าแน่จริง ก็ให้พวกเขาไปคิดบัญชีกับลิงซะสิ” 

ซุนจิ้งพูดพร้อมนั่งลงโซฟา เธอเหลือบมองไปที่หวางเยนหรัน “ที่พวกเธอขึ้นไปชั้นบนก่อนเถอะ” 

หวางเยนหรันพยักหน้าและขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับมู่หยุน

เมื่อคนทั้งสองไปแล้ว ซุนจิ้งก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า “ตาแก่หวาง คุณว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเจ้าขยะนั่นรึเปล่า?” 

หวางตงเหอตกตะลึงไป “เกี่ยวอะไรกับเขา?”

ซุนจิ้งตั้งใจเงยหน้าขึ้นมองชั้นบน ก่อนจะเอ่ยพึมพำ “ยังจำได้ไหมว่าตอนที่อยู่ในบ้าน เขาพูดว่ายังไง” 

หวางตงเหอหรี่ตาลงเล็กน้อยและจำคำพูดที่มู่หยุนพูดเอาไว้ขึ้นมาได้ “ใครดูหมิ่นถูกแม่ของ ฉันจะต้องตาย"

ผลคือ วันนี้ซุนเฉิงไม่มีชีวิตรอดแล้ว 

“เป็นไปไม่ได้ อะไรจะพิสดารขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงลิงจมูกเชิดสีทอง เขาจะไปหารถ BMW มาจากไหนกัน? รถคันนั้นฉันได้ยินมาว่าราคาอย่างน้อยๆ ก็แปดแสน”

ซุนจิ้งนิ่งคิด ก่อนจะคิดว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง จึงค่อยโล่งใจขึ้นมา 

ชั้นสอง

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หยุนเข้าไปในห้องส่วนตัวของหวางเยนหรัน

กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยเข้ามา จนทำให้คนเกิดความรู้สึกมึนเมาเล็กน้อย ในห้องไม่ว่าจะเป็นดีไซน์หรือของตกแต่งล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหญิงสาวสีชมพู

หวางเยนหรันที่กำลังขวัญหายนั่งอยู่บนเก้าอี้ และเหลือบมองมู่หยุนด้วยสีหน้าเขินอายอยู่บ้าง “คุณนั่งลงก่อน” 

มู่หยุนยิ้ม ก่อนจะเข้ามานั่งลงด้านข้างของหวางเยนหรัน ทั้งสองคนไร้คำพูดใด ๆ มีเพียงลมหายใจอันคลุมเครือที่ค่อยๆ ดังขึ้น และปัดเป่าความหวาดกลัวของหวางเยนหรันออกไป

“คุณ ... ตอนที่เป็นทหาร เห็นฉากแบบนี้บ่อยใช่ไหม?” 

หวางเยนหรันถูกมู่หยุนมองจนหน้าร้อนผ่าว มือไม้สูญเสียความควบคุมอยู่บ้าง

แววตาของมู่หยุนมีประกายแห่งอดีตผ่านวาบ “ในสนามรบ มีฉากแบบนี้มากมาย อีกทั้งยังรุนแรงกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า” 

หวางเยนหรันเม้มปาก “ลำบากคุณแล้ว” 

มู่หยุนส่ายหัวและมองไปยังหนังสือบนโต๊ะ “เธอกำลังทดสอบเข้าราชการอยู่หรือ?” 

หวางเยนหรันพยักหน้า “พรุ่งนี้เช้าจะต้องสอบแล้ว” 

“เตรียมจะไปรายงานตัวที่แผนกไหน?” 

“แน่นอนว่าฉันต้องการเข้ากรมสรรพากร แต่ว่าครั้งนี้ ตระกูลหวางของเรามีที่นั่งในแผนกภาษีเพียงคนเดียว ส่วนพวกพี่ชายและพี่สาวเขา...” 

สายตาของหวางเยนหรันเศร้าหมอง “อันที่จริงฉันไม่มีโอกาส” 

มู่หยุนยิ้มน้อยๆ “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร เชื่อฉัน เธอจะต้องประสบความสำเร็จแน่” 

หวางเยนหรันฝืนยิ้มและพยักหน้า

ในตอนนี้เองเสียงเรียกของซุนจิ้งจากบันไดก็ดังขึ้น “เยนหรัน จัดการแต่งเนื้อแต่งตัวเถอะ ต้องไปทานข้าวที่บ้านคุณปู่แล้ว” 

“รู้แล้วค่ะ” 

“คุณออกไปก่อน ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า” หวางเยนหรันผลักมู่หยุนออกไปนอกประตูห้องอย่างเขินอายแล้วปิดประตูดังปัง

“ช่างไม่เห็นฉันเป็นสามีเลยจริงๆ” 

สิบนาทีต่อมา หวางเยนหรันและมู่หยุนก็ลงมาชั้นล่างด้วยกัน

ซุนจิ้งเหลือบมองไปที่มู่หยุนและกล่าวว่า “นายก็จะไป?” 

“แม่ มู่หยุนเป็นสามีของฉัน” 

หวางตงเหอกระแอมในลำคอ “ช่างเถอะ ไปก็ไป ไปดูโลกภายนอกบ้างก็ดีเหมือนกัน ต่อให้หลังจากนี้หย่ากับเยนหรันแล้ว ก็ออกไปคุยโวได้อยู่บ้าง” 

“พ่อ พูดแบบนั้นได้ยังไง” หวางเยนหรันคิดไม่ตก ว่าทำไมพ่อแม่ของเธอถึงได้ดูถูกมู่หยุนขนาดนี้

แต่กลับเห็นว่าหวางตงเหอชี้นิ้วไปที่กล่องบนโต๊ะน้ำชาและพูดกับมู่หยุน “อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ของมนุษย์ มีให้มีรับถึงค่อยเรียกมันว่าความสัมพันธ์ ตอนนี้นายไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้ฉันเอ่ย ตอนนี้เพื่อสิ่งนี้ นายเป็นหนี้คนรัก จากนี้ไปนายควรทำยังไง?” 

“หูตาคับแคบ!” หวางตงเหอยิ่งพูดยิ่งโมโห รู้สึกว่ามู่หยุนประหนึ่งตนเสียแตงโมเพื่อเก็บเมล็ดงากลับมา มีความสัมพันธ์แบบนี้ ขอแค่เทียนเคอเอ่ยปาก เรื่องตระกูลหลี่มีหรือจะไม่คลี่คลาย? ในกล่อง ยังมีมงกุฎหงส์ที่มู่หยุนซื้อให้กับหวางเยนหรัน” 

“ขอแค่เยนหรันมีความสุขก็พอ เรื่องอื่น ผมไม่ถือสา” มู่หยุนจับมือที่อ่อนนุ่มของหวางเยนหรันกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“พอเถอะ คำพูดพวกนี้เอาไว้หลอกเยนหรันยังพอว่า แต่นายคิดหรือว่าพวกเราจะเชื่อ?” ซุนจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา

มู่หยุนส่ายหัว

พวกเธอไม่เชื่อ แล้วเกี่ยวอะไรกับเขากัน 

“แต่เดิมยังคิดจะให้เวลานายหนึ่งเดือน ดูว่านายจะกล้าได้กล้าเสียมากขนาดไหน หนึ่งสัปดาห์ เวลาหนึ่งสัปดาห์ ถ้านายไม่สามารถร้องขอให้ตระกูลหลี่อภัยให้ได้ ก็ไสหัวไปซะ จากนี้ไปอย่าฝันว่าจะได้เจอกับเยนหรัน ฉันพูดจริงทำจริง” 

หนึ่งสัปดาห์?

มู่หยุนหัวเราะเยาะ ในอีกห้าวัน เขาจะปล่อยให้ตระกูลหลี่ต้องราบเป็นหน้ากลอง

เมื่อเห็นมู่หยุนยังคงหัวเราะ หวางตงเหอก็โกรธจนแทบทนไม่ไหว “พวกเธอไปกินเถอะ ฉันจะกลับกระทรวง” 

“คุณไม่ยอมไปหาคุณพ่ออีกแล้ว?” 

“งานเลี้ยงของเจ้าเมืองสำคัญกว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น แผนกอื่น ๆ เองก็แสร้งว่ากำลังไปที่นั่นช่วยคิดงาน ฉันไม่สามารถขาดไปได้ คุณพ่อกำชับไว้ให้ฉันทำผลงานให้ดี”

ไม่นานนัก หวางตงเหอก็ขับรถออกไป

มู่หยุนและหวางเยนหรันขึ้นรถของซุนจิ้งและขับรถไปที่บ้านบรรพบุรุษของตระกูลหวาง

บนรถ หวางเยนหรันลังเลก่อนจะเอ่ยกับมู่หยุนอย่างเบา ๆ “คุณจะโทษพ่อแม่ของฉันไหมคะ ที่พวกเขาปฏิบัติต่อคุณแบบนี้” 

มู่หยุนส่ายหัว “คนที่ฉันแคร์ มีแค่เธอคนเดียว คนอื่นๆ ล้วนไม่สำคัญจริง” 

“กะล่อน” หวางเยนหรันตอบกลับอย่างเขินอาย ทันใดนั้นเธอก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ก่อนเอ่ยกำชับ “อีกเดี๋ยวถ้ามีใครพูดอะไร คุณอย่าได้เอามาใส่ใจ” 

“พี่น้องของเธอพวกนั้น?” 

หวางเยนหรันพยักหน้า “พ่อของพวกเขาและพ่อของฉันไม่ค่อยลงรอยกัน อีกทั้งครั้งนี้ยังมีเรื่องการสอบราชการ แน่นอนว่าย่อมมีสีหน้าไม่ดีแน่ คุณอย่าได้หุนหันนะ” 

มู่หยุนยิ้มเอ่ยเบา ๆ “ฉันรู้” 

เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาและมั่นใจของมู่หยุน หวางเยนหรันพยักหน้าด้วยความยินดี


ข้าคือจักรพรรดิเซียน
คุณสามารถใช้ปุ่มลูกศรซ้าย/ขวาเพื่อถอยหลัง/ไปข้างหน้า
ประเมิน: 10.0/10 จาก 49 โพล
loading...