คุณทนาย จดทะเบียนสมรสกัน
ตอนที่ 14 สามีเก่าที่ไร้ยางอาย
กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาจากปาก บวกกับความเจ็บทำให้นัชชาอ้าปากอย่างลืมตัว ระหว่างที่ดวิษกำลังคิดที่จะจู่โจมเธอทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
“ดวิษ ฉันเอาซุป... หางวัวที่คุณชอบมาให้ คุณ.... ว้าย!!!!!” ปณิตาเห็นภาพที่เกิดขึ้นก็อดร้องตกใจไม่ได้
ข้าวของกระจัดกระจาย ผู้หญิงที่มีผู้ชายคร่อมอยู่บนตัว มือหนึ่งจับคอเสื้อขึ้นส่วนอีกมือก็จับเอวไว้เพื่อไม่ให้เธอขยับหนีได้ ตัวของทั้งสองก็แนบชิดกันมากแล้วปากก็ประกบจูบกัน
ปณิตาอึ้งกับเห็นการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอสติแตกทำอะไรไม่ถูก
เธอเดินเอากล่องใส่อาหารไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วตะโกน “นัชชา ทำบ้าอะไรของเธอ!”
ตอนแรกที่เห็นเธอตกใจแล้วแอบรู้สึกผิดที่เห็นปณิตาแต่พอหลังจากที่เธอเห็นจรรยาเดินตามมาข้างหลังทำให้เธอก็เปลี่ยนใจ
เธอหนีออกจากบ้านไปไม่นาน แต่จรรยากลับพาปณิตาเข้าบ้าน
นัชชาจัดการชุดให้เข้าที่เล็กน้อยแล้วยกแขนโอบคอดวิษแล้วพูดว่า “จะให้ทำอะไรละ ก็ทำเรื่องปกติที่ชอบทำกันน่ะสิ”
“หน้าด้าน!!!” ปณิตาตะโกนด่า
นัชชาเงยหน้ามองดวิษแต่นึกไม่ออกว่าควรพูดหรือทำอะไรต่อ อยู่ๆก็รู้สึกรังเกียจเขาขึ้นมาเธอจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปทางปณิตา “ฉันเคยบอกแล้ว เธอจะไม่ใช่คนสุดท้ายของเขาระวังตัวไว้ให้ดี จะไปไหนก็ไปก่อนที่ฉันจะโกรธ แล้วอยากแก้แค้นขึ้นมา”
ตอนแรกปณิตาอยากจะตอบโต้แต่ก็ไม่รู้จะโต้ตอบยังไง
เธอหันหน้าไปทางจรรยา ทำหน้าใสซื่อน่าสงสาร “คุณป้า หนูแค่เป็นห่วงที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หนูกลัวจะไม่มีคนคอยดูแล เลยมาหาเขาแต่เท่าที่สังเกตเห็นหนูน่าจะคิดผิด งั้นขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ดวิษไม่ได้แสดงออกอะไรแต่ต่างกับจรรยาที่ทำเหมือนไม่เห็นนัชชาอยู่ในสายตาเธอหันไปกุมมือปณิตาแล้วพูดว่า “ณิตา อย่าเพิ่งรีบกลับสิจ้ะ อยู่ดูแลตาดวิษก่อนจะได้ไม่เสียเวลาเปล่า”
“นั่นนะสิไหนๆก็มาแล้วจะรีบกลับทำไม เตรียมทุกอย่างมาขนาดนั้นไม่เสียดายแย่เหรอ” คำพูดของนัชชาทำให้เธอหน้าชาเหมือนโดนตบ “เดี๋ยวฉันไปเอง”
ทั้งสามคนยืนมองแผ่นหลังของเธอที่เดินจากไป แล้วหันมาถามปณิตาที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆเขา “ใครใช้ให้เธอมา”
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเธอตอนนี้เขาคงได้เห็นหน้านัชชาตอนที่ขอร้องอ้อนวอนเขาอยู่ใต้ร่าง
ปณิตาเห็นสีหน้าไม่พอใจของเขา เธอจึงยิ้มเปลี่ยนเรื่อง “แม่บอกว่าคุณยังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน ฉันเลยทำซุปมาให้ รีบกินตอนมันยังร้อนๆอยู่”
ดวิษดันเอามือดันเธอออก “ฉันไม่กิน”
ดวิษหันหลังเดินขึ้นชั้นสองโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องนอนดังมาจากชั้นบน
จรรยายื่นมือไปขวางเธอ “เป็นเพราะดวิษเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่ หนูช่วยเข้าใจเขาหน่อยนะ”
เธอพยักหัวทำหน้าเข้าใจ แต่กลับกำมือไว้แน่น
นัชชา นัชชา ฉันไม่มีทางยอมให้เธอได้สิ่งที่ต้องการแน่!!!
หลังจากที่นั่งรถออกมาได้สักพักเธอก็ก้มดูใบหย่าในมือ ในตาก็รู้สึกร้อนเธอจึงหันหน้าออกไปทางหน้าต่างแล้วลดกระจกลงเพื่อให้ลมพัดเข้ามาโดนหน้าเธอ
ความหน้าด้านของคนในครอบครัวดวิษมันเกินจะเยียวยา เธอไม่จำเป็นต้องคอยตามเพราะหลังจากนี้พวกเขาคงแสดงทุกอย่างออกมาให้เห็นเอง
ดวิษ...
นัชชาหลับตาลงนึกถึงการกระทำเมื่อครู่ เมื่อก่อนนั้นเธอหลงใหลในตัวเขามาก อ้อมกอดและเพียงแค่จูบเดียวของเขาก็สามารถทำให้เธออารมณ์ดีไปหลายวันแต่ตอนนี้แค่เขาสัมผัสโดนตัวเธอก็ทำให้เธอขนลุกรู้สึกขยะแขยงมากแล้ว
ที่จริงแล้วเธอก็เป็นโรคผิดปกติทางอารมณ์ คือโรคที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ เธอไม่ได้สนใจอดีตของเขาแต่เธอรับไม่ได้ถ้าจะต้องใช้ผู้ชายคนเดียวกันร่วมกับคนอื่น
เธอหยิบใบหย่าใส่เข้าไปในกระเป๋าก้มมองนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสาม เตชิตให้เธอกลับบ้านก่อนสองทุ่มนี่เนอะ เมื่อเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะเลยกดโทรหาเพื่อนสนิทยัย จินต์
จินต์ก็อยากเจอเธออยู่พอดี เลยนัดเจอกันที่ร้านกาแฟ
พอเจอกันจินต์ก็ถามทั้งที่ยังไม่ทันได้นั่ง “ปากเธอไปโดนอะไรมา”
นัชชาตกใจ หยิบกระจกออกจากกระเป๋าขึ้นมาส่องถึงเห็นว่ามีคราบเลือดติดอยู่ที่ปาก เธอแตะมันเบาๆแต่ยังรู้สึกเจ็บอยู่ “โดนหมากัดน่ะ”
“หมา?” จินต์เหมือนจะรู้จักเข้าใจเธอดี “ดวิษอะเหรอ?”
“อืม”
“เธอสองคนนัดเจอกันแล้วเหรอ” จินต์รู้หลังจากที่จับดวิษกับปณิตาได้มีอะไรกันบ้านเธอจากนั้นนัชชาก็ไม่เคยกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเลย
“เขาหาฉันไม่เจอก็เลยโทรไปหาแม่ กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ฉันเลยไปเตือนมันซะหน่อย” ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“โห ไม่นึกเลยว่าเขาจะหน้าด้านได้ขนาดนี้ ทำเรื่องเลวๆไว้ยังกล้าโทรไปฟ้องแม่อีกนะยะ”
จินต์ยกกาแฟขึ้นดื่มเพื่อกลั้นอารมณ์ไม่ให้โมโหไปมากกว่านี้ “ไม่นึกว่าเขาจะเป็นคนเลวมากขนาดนี้”
“มันไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้ใช่มั้ย”
นัชชาส่ายหน้า “เขาไม่มีโอกาสได้ทำเพราะปณิตากับจรรยาแม่ของเขาเข้ามาพอดี แต่ก็นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายที่ฉันรอดมาได้”
“ไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดเพราะแต่ละเรื่องที่คนบ้านนั้นทำมันแย่เกินจิตสำนึกคนจะทำได้ลง ไหนๆเธอก็ตัดสินใจที่จะหย่าแล้ว คนอย่างไอ้ดวิษมันไม่สมควรได้ใช้ชีวิตร่วมกับใครทั้งนั้น เธอเพิ่งจะอายุ24 มีผู้ชายอีกเพียบที่รอเธออยู่” จินต์ไม่รู้ควรพูดปลอบเธอยังไงก็เลยเลือกปลอบด้วยวิธีที่ติดตลก
นัชชายิ้มเล็กน้อย มือกุมแก้วกาแฟ “จินต์ ฉันมีเรื่องจะบอก”
จินต์พยักหน้า “ว่ามาสิ”
“ฉัน... คบกับเตชิตแล้ว”
“…” จินต์มองไปรอบๆ แล้วหันมาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “เธอโดนดวิษหลอกจนบ้าไปแล้วเหรอ”
ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดอะไรบ้าๆแบบนี้ออกมา
นัชชาจึงยิ้มออกมาแห้งๆแบบฝืนยิ้ม “จริงๆ เขาบอกว่าถ้าฉันยอมคบกับเขา เขาจะสู้คดีในศาลให้”
พวกเขาเผลอสบตากันจินต์กับนัชชารู้จักเป็นเพื่อนกันมานาน แค่มองตาเธอก็รู้แล้วว่านัชชาต้องการอะไร เพราะแบบนี้เธอเลยดูออกว่านัชชาไม่ได้กำลังโกหก
“เธอ...” จินต์ตกใจไม่รู้จะพูดยังไง อีกอย่างเป็นเพราะว่าเธอกำลังอยู่ร่วมกับผู้ชายคนอื่นแต่ที่สำคัญกว่านั้นคือผู้ชายคนนั้นคือเตชิต
คิดไปคิดมา จินต์ลังเลไม่แน่ใจว่าควรถามรึเปล่าแต่เธอก็เลือกที่จะถามออกไป “นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ขอเธอคบแบบจริงจัง เธอรู้ใช่มั้ย”
“รู้” เธอหน้าแดงตอบด้วยความเขินอาย “ฉันรู้”
เธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเตชิต พวกเธอคบกันในฐานะอะไร
จินต์หายใจเข้าลึกๆ แล้วถามต่อ “แล้วพวกเธอเคยมีอะไรกันรึยัง”
คุณทนาย จดทะเบียนสมรสกัน