Hello!! My Cinderella นางซินหน้าใสขอเขย่าหัวใจคุณชายเพลย์บอย

Chapter 55 : เพื่อนที่แสนดีได้ตายจากโลกไปแล้ว

กลับบ้านครั้งนี้...เป็นการกลับมาจริง ๆ ไม่ใช่เป็นการกลับมาพักใจเหมือนครั้งก่อน ๆ มันเป็นการกลับมาที่ฉันรอคอยมาโดยตลอด ฉันมีความสุขมากที่ได้กลับมา...แต่เหมือนความสุขของฉันมันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีอะไรเลย

ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ...

ฉันไปเก็บของของตัวเองที่คอนโดคุณดีแซมมาหมดแล้ว ฉันทิ้งของที่คุณดีแซมซื้อให้จัสมินทุกอย่างไว้ที่นั่นและเลือกเก็บเพียงของตัวเองกลับมา ข้าวของฉันมีไม่เยอะหรอก ตอนย้ายไปอยู่ที่นั่นก็แทบจะไม่ได้เอาอะไรไปเลย

ฉันใช้เวลาพักใหญ่จัดการเก็บกวาดบ้านตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย ทุกอย่างวางไว้ตรงตำแหน่งเดิมราวกับว่าไม่เคยถูกย้ายไปไหนมาก่อน

“หนูกลับมาแล้วนะคะ” ฉันพูดพลางจ้องมองรูปภาพผู้มีพระคุณทั้งสามท่านของฉันหลังจากที่เอาช่อดอกมะลิเล็ก ๆ ไปวางไว้ตรงหน้ากรอบรูป วินาทีต่อมาน้ำตาฉันก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ลึก ๆ ในความรู้สึก ฉันรู้สึกได้ว่าพวกท่านกำลังยิ้มต้อนรับฉันและจะคอยอยู่กับฉันตลอดไปยิ่งในวันที่ฉันอ่อนแอที่สุดเช่นตอนนี้

ฉันรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มตัวเองทิ้ง ไม่อยากให้พ่อกับแม่และยายเห็นความอ่อนแอที่ฉันกำลังเผชิญอยู่ ทุกคนคงอยากเห็นฉันยิ้มมากกว่าร้องไห้

ฉันอยากจะกลับมาเป็นคนเดิม อยากยิ้มได้เต็มหัวใจในเร็ววัน

ในจังหวะเดียวกัน เสียงรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านก่อนจะดับเครื่อง ฉันออกไปดูตรงชานหน้าบ้านว่าใครมาตอนนี้ ร่างสูงแสนคุ้นตาเปิดประตูลงจากรถยนต์สีขาวยี่ห้อดังคันหรู

“มะลิ” เจ้าของร่างสูงเรียกชื่อฉันเมื่อลงจากรถ ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน

“คุณแซนแทน” ฉันเรียกเขาเสียงเบา ไม่คิดว่าเขาจะมาหาฉันถึงที่นี่

ตั้งแต่ฉันรู้ว่าเขาคือใคร แทนก็ตายไปจากโลกใบนี้แล้ว แทนคนที่เป็นเด็กวัดไม่มีแล้ว เพราะคนที่มาหาฉันที่นี่เขาแต่งตัวดี มีรถยนต์หรูขับ...ช่างแตกต่าง

ในมือคุณแซนแทนถือกระเป๋าเป้สะพายใบเก่งของฉันอยู่ และอีกข้างก็ถือซองเอกสารสีน้ำตาลไว้ ฉันเดินไปหาเขาโดยไม่ต้องให้คุณแซนแทนบอก เขาคงจะเอากระเป๋าที่ฉันลืมไว้ที่งานเมื่อวานมาคืน

คุณแซนแทนยิ้มออกเมื่อฉันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขาคงจะคิดว่าฉันโกรธเขาที่โกหกฉันสินะถึงทำหน้าเครียดมาเชียว ฉันไม่ได้โกรธเขาหรอก แต่ฉันเสียความรู้สึกมากกกว่า

“มะลิ” คุณแซนแทนเรียกชื่อฉันอีกครั้ง เขาเอาแต่เรียกชื่อฉันอย่างกับไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรก่อนดี

“คุณมาที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” ฉันถามออกไปเพราะคุณแซนแทนเอาแต่มองหน้าฉันแล้วยิ้มด้วยความดีใจอยู่แบบนั้น แล้วเป็นแบบนี้เมื่อไหร่จะคุยกันรู้เรื่อง

“ผมเอากระเป๋ามาคืนมะลิน่ะครับ” บอกแล้วคุณแซนแทนก็ยื่นกระเป๋าคืนให้ ฉันรับมาโดยไม่พูดอะไร “แล้วนี่ก็เงินค่าตอบแทนงานเมื่อวาน”

คุณแซนแทนยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาตรงหน้าซึ่งในนั้นน่าจะมีเงินจำนวนหนึ่งอยู่ เงินจำนวนนี้สำหรับคนอย่างฉันมันมีค่ามาก ฉันมองซองสีน้ำตาลตรงหน้าอย่างพิจารณา ถ้าใช้ทิฐิตัดสินใจฉันคงไม่รับเงินเพราะคุณแซนแทนโกหกฉันหลายเรื่อง แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง...มันเป็นเงินที่ฉันสมควรจะได้เพราะนั่นถือว่าฉันทำงานให้เขาแล้ว

ฉันยื่นมือไปรับซองสีน้ำตาลนั้นมาไว้ในมือก่อนจะพูดกับคนตรงหน้าเสียงเบา “ขอบคุณนะคะ”

“ผมเต็มใจช่วยมะลิเสมอด้วยความยินดีนะครับ”

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะสำหรับความหวังดี ต่อไปคงไม่ต้องหรอกค่ะ”

“ที่มะลิเย็นชากับผมแบบนี้ก็เพราะโกรธเรื่องที่ผมโกหกใช่มั้ย?” คราวนี้คุณแซนแทนถึงกับโพล่งถามหน้าเครียด น้ำเสียงและสีหน้าเขาจริงจังมากจนฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้เขาจะโกหกฉันเหมือนที่ผ่านมารึเปล่า

“ฉันไม่ได้โกรธคุณหรอกค่ะ ฉันแค่เสียความรู้สึก” ฉันบอกเขาไปตรง ๆ

“ผมขอโทษนะมะลิ”

“ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมคุณถึงโกหกฉันเรื่องตัวตนของคุณ และฉันก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าสิ่งที่คุณทำคือเรื่องจริงหรือหลอกลวงกันแน่”

“ผมโกหกมะลิแค่เรื่องตัวตนของผม แต่สิ่งที่ผมทำ สิ่งที่ผมแสดงออกคือเรื่องจริง ไม่ว่ายังไงผมก็คือแทนที่มะลิ...

“คุณไม่ใช่แทนหรอก” ฉันพูดขัดขึ้นเสียงเบาพลางมองไปรอบตัวคุณแซนแทน ก้อนบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกตรงคอทำให้ฉันเจ็บร้าวจนขอบตาร้อนผะผ่าว “คุณไม่มีวันเป็นแทนได้ แทนเพื่อนฉันคนนั้นเขาไม่มีรถขับ เขาเป็นเด็กวัด เขาไม่มีพ่อไม่มีแม่เหมือนฉัน แต่น่าเสียดาย”

ฉันหยุดพูดแค่นั้นเพราะน้ำตาจะไหล ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พลางกระพริบตาถี่ไล่น้ำตาทิ้งไปซะ ฉันเบื่อการร้องไห้ เบื่อการเป็นคนอ่อนแอให้คนอื่นรังแกและล้อเล่นกับความรู้สึก และเบื่อ...ที่ตัวเองเป็นคนอ่อนแอแบบนี้

“น่าเสียดายที่ฉันไม่มีวันได้เจอเพื่อนฉันคนนั้นอีกแล้ว เพราะเขาไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้”

“มันไม่ใช่แบบนั้นเลยนะมะลิ”

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้วค่ะ คุณกลับไปดีกว่า คุณแม่คุณคงไม่พอใจนะคะที่รู้ว่าคุณมาเจอฉัน”

ฉันหันหลังหวังจะเดินหนีคุณแซนแทนขึ้นบ้านไป ร่างสูงไม่ยอมให้ฉันหนีไปง่าย ๆ เพราะเขาตามมาคว้าข้อมือฉันไม่ให้เดินหนีไปไหน คุณแซนแทนเดินมาดักหน้าฉันไว้ เขาไม่เลือกใช้กำลังกระชากฉันให้หันไปประจันหน้ากับเขาเหมือนที่ผู้ชายคนหนึ่งชอบทำกับฉัน

“มะลิไม่อยากรู้เหตุผลของผมรึไงว่าทำไมผมถึงโกหกว่าตัวเองเป็นเด็กวัด”

“ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณคือใคร คุณไม่จำเป็นต้องบอกหรอกค่ะ” ฉันบิดข้อมือตัวเองออกจากมือใหญ่เบา ๆ เขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

“ผมเจอมะลิที่วัดเมื่อหลายวันก่อน ผมไม่คิดว่าการที่แม่บังคับผมไปวัดจะทำให้ผมได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอสะดุดตาจนผมต้องหยุดมองเธอนั่งกรวดน้ำใต้ต้นไม้ นั่นคือจุดเริ่มต้นให้ผมอยากรู้จักมะลิ”

ดูเหมือนคุณแซนแทนจะดื้อไม่เบา เขาไม่สนใจเลยว่าฉันจะปฏิเสธไม่ฟังเขายังไง

“...”

“จากนั้นผมก็ไปถามเด็กวัดว่าผู้หญิงคนที่ทำให้ผมสนใจคือใคร เด็กพวกนั้นบอกว่าเธอชื่อมะลิ เธอชอบมาทำบุญที่วัดบ่อย ๆ ผมเลยต้องทำตัวเป็นแทน เด็กวัดธรรมดา ๆ เพื่อไม่ให้แปลกแยกไปจากคนอื่น เพราะคิดว่าถ้าเป็นเด็กวัดคงจะเข้าหามะลิได้ง่ายกว่าแซนแทน”

“...”

“ผมยอมรับว่าตอนแรกผมแค่อยากรู้จักมะลิ หลัง ๆ มาพอได้รู้จักและเริ่มพูดคุยผมก็เริ่มชอบมะลิทีละนิด ๆ จนผมบอกมะลิไปว่าผมจะจีบมะลินั่นแหละ ผมจริงจังนะ ความรู้สึกของผมมันเลยคำว่าชอบมานานแล้ว”

“...”

“ผมจริงจังกับความรู้สึก ผมไม่เคยคิดจะเล่นกับความรู้สึกคนเลยนะครับมะลิ ผมสาบาน”

“...”

ความจริงใจที่คุณแซนแทนแสดงออกมาจากดวงตาคมนั้นทำให้ฉันเงียบ สิ่งที่เขาพูดทำให้ฉันต้องเก็บเอามาคิดใหม่

“เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเมื่อวานน่ะ ผมขอโทษแทนแม่ผมด้วยนะครับ ผมไม่คิดว่าแม่จะพูดและทำเรื่องไม่เข้าท่าแบบนั้นในงาน”

“เรื่องนั้นฉันโอเคค่ะ”

จริง ๆ ฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องคุณหญิงขวัญตาเลย เพราะเรื่องที่ฉันเจออยู่ตอนนี้มันเยอะมากแล้ว อีกอย่างสิ่งที่เธอพูดไปในงานไม่ใช่ความจริงด้วยนั่นแหละฉันถึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก

“เมื่อวานผมจะตามไปช่วยมะลิแล้ว แต่ดีแซมมันขับรถเร็วมากจนผมตามไม่ทัน ผมขอโทษนะ มันไม่ได้ทำอะไรมะลิใช่มั้ยครับ”

ฉันสะอึกทันทีกับคำถามนี้...ทำไมเขาต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย

“ทะเลาะกันนิดหน่อยน่ะค่ะ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ฉันย้ายกลับมาอยู่บ้านแล้วด้วย ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก ตอนนี้คุณน่าจะกลับบ้านได้แล้วนะคะ”

ฉันเสียมารยาทไล่คุณแซนแทนทางอ้อมโดยไม่มีการรักษาน้ำใจอะไรทั้งสิ้น ที่ฉันบอกว่าจะเอาสิ่งที่คุณแซนแทนพูดไปคิด แต่ฉันคิดว่าคงไม่ใช่ตอนนี้แล้วล่ะ

“มะลิเป็นอะไร...” เหมือนคุณแซนแทนจะจับความผิดปกติในน้ำเสียงฉันได้เขาถึงได้ถามอย่างเป็นห่วง

“ถือว่าฉันขอร้องนะคะ รอให้ฉันพร้อมกว่านี้ก่อนเราค่อยคุยกันนะ” ฉันไม่อยากตอบคำถามอะไรทั้งนั้นแหละ ยิ่งเป็นเรื่องระหว่างผู้ชายคนนั้นฉันยิ่งไม่อยากพูด

คุณแซนแทนเงียบไปพักหนึ่ง เขาจ้องหน้าฉันอย่างคิดไม่ตก เขาคงจะรู้ด้วยว่าตอนนี้ฉันอยู่ในอารมณ์ไม่พร้อมคุยอะไรทั้งสิ้น สุดท้ายเขาถึงยอมกลับไปแต่โดยดี

“ก็ได้ครับ ถ้ามะลิมีเรื่องไม่สบายใจโทรหาผมได้ตลอดเวลานะ ผมขอตัวกลับก่อน ไว้ผมจะมาหามะลิใหม่นะครับ”

ฉันไม่พูดอะไรแล้วยืนส่งคุณแซนแทนเงียบ ๆ จนเขาขับรถออกไปจากบริเวณหน้าบ้านฉัน

เคยรู้สึกแย่ ๆ มาก ๆ มั้ย แย่แบบที่ไม่อยากทำอะไรเลย หรือไม่ก็อยากจะหนีไปไกล ๆ ไปอยู่ที่ ๆ ไม่มีใครรู้จักเรา

ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินไปไหนด้วยซ้ำ รถแอสตัน มาร์ตินก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า วินาทีต่อมาคนที่ฉันไม่อยากเจอหน้าที่สุดก็ลงจากรถแล้วเดินมาหาพร้อมกับที่ฉันเดินหนีเขา

“เดี๋ยวสิมะลิ”

คุณดีแซมวิ่งมาดักหน้าไว้ไม่ให้ฉันเดินหนี ฉันไม่อยากคุยกับเขาจึงเดินหนีไปอีกทาง แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนคุณดีแซมก็เดินมาดักหน้าไว้จนฉันต้องจำใจเงยหน้าสบตากับเขาแทน

“อะไรคะ” ฉันถามเสียงเย็นแล้วถอยหลังออกห่างจากคุณดีแซมสองก้าว

“เมื่อกี้ไอ้แซนแทนใช่มั้ย มันมาหาเธอเหรอ มันมาทำไม” คุณดีแซมรัวคำถามใส่ฉันไม่ยั้ง น้ำเสียงเขาเจือไปด้วยความขุ่นเคือง

“ใช่ค่ะ คุณแซนแทนมาหาฉันและเพิ่งกลับไป เขาเอาเงินที่ฉันไปทำงานให้เขาเพื่อเอาไปใช้หนี้คุณมาให้ นี่ไงคะ” ฉันชูซองเอกสารในมือให้คุณดีแซมดูแต่เขาไม่เหลือบมองมันเลยด้วยซ้ำ “คุณจะเอาเงินตอนนี้เลยหรือเปล่าคะ แต่มันยังไม่ถึงห้าหมื่นหรอกนะ หรือว่าคุณต้องการเป็นก้อน...”

“เลิกประชดสักทีเถอะมะลิ” คุณดีแซมพูดขัดขึ้นก่อนที่ฉันจะพูดจบ

“ฉันไม่ได้ประชดค่ะ ฉันพูดจริง ฉันไปทำความสะอาดคอนโดคุณมาแล้วนะคะ แล้วขนของออกมาแล้วด้วย”

“ว่าไงนะ!!” คุณดีแซมโพล่งขึ้นเสียงดัง เขาคงคาดไม่ถึงว่าฉันจะทำอะไรโดยพลการโดยไม่บอกเขาแบบนี้

วินาทีนี้ฉันไม่สนแล้วล่ะว่าเขาจะคิดยังไง ในเมื่อเขาก็ไม่ได้สนใจเลยว่าฉันจะคิดยังไงเหมือนกัน

“นี่คีย์การ์ดกับมือถือคุณค่ะ” ฉันเอาของที่บอกในกระเป๋ายื่นไปตรงหน้าคุณดีแซม

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ” คนตรงหน้าว่าเสียงสั่น ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“แต่มันคือสิ่งที่ฉันต้องการ” เมื่อคุณดีแซมไม่ยอมรับของในมือฉันไป ฉันจึงคว้ามือเขามาก่อนจะยัดสิ่งที่เป็นของเขาใส่มือเขาให้สิ้นเรื่อง “ฉันคืนอิสรภาพให้คุณแล้ว ตั้งแต่วินาทีนี้ไปคุณดีแซมไม่จำเป็นต้องฝืนใจคบน้ำใสเพื่อฉันอีกแล้วนะคะ ฉันขอโทษที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณต้องฝืนใจทำแบบนั้น”

ฉันรัวคำพูดใส่คุณดีแซมไม่ยั้ง ฉันอยากเคลียร์เรื่องเราให้จบ ๆ ไปซะตรงนี้ จะได้เลิกแล้วต่อกันไปซะ

คุณดีแซมนิ่งไปเหมือนถูกแช่แข็ง ฉันเลยถือโอกาสนี้ชิงพูดขึ้นอีกครั้ง “แล้วเรื่องเงินคุณอยากให้ฉันชดใช้ให้แบบไหนคะ?”

“มันต้องไม่จบลงอย่างนี้มะลิ” คุณดีแซมก้าวเข้ามาหวังจะคว้ามือฉันไว้แต่ฉันเอามือไขว้หลังไว้ไม่ให้เขาแตะต้องตัวได้

“เรื่องของเรามันต้องจบอย่างนี้ตั้งแต่แรกแล้วค่ะคุณดีแซม เรื่องมันเริ่มต้นที่ฉันไม่มีเงินคืนคุณ และตอนนี้ฉันก็กำลังหาเงินไปคืนคุณอยู่นี่ไง เมื่อฉันคืนให้คุณครบแล้วทุกบาททุกสตางค์ เราสองคนก็จะไม่มีพันธะใด ๆ ต่อกันอีก”

ทำไมประโยคนี้ถึงมีก้อนบางอย่างมาจุดอยู่ที่คอของฉันอีกแล้วนะ มันเจ็บมากจริง ๆ จนทำฉันน้ำตาคลอ ในใจเจ็บร้าวอย่างถึงที่สุด ทำไมใจฉันมันถึงสวนทางกับคำพูดตัวเองจังนะ

“ไม่...”

“คุณก็กลับไปใช้ชีวิตในแบบที่คุณเป็น เรื่องเที่ยวก็เพลา ๆ ลงหน่อยนะคะ กลับไปนอนบ้านบ่อย ๆ นะเดี๋ยวคุณหญิงหมื่นกะรัตจะงอนเอา ฮ่าๆๆ” ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาอย่างกับคนบ้า “ฉันก็จะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม ชีวิตเหมือนก่อนหน้าที่ฉันจะทำรถคุณเป็นรอย และเราก็จะกลายเป็นแค่คนรู้จัก หรือไม่ก็แค่รุ่นพี่รุ่นน้องร่วมมหา’ลัยเดียวกัน”

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกมะลิ” คุณดีแซมสวนกลับมาเสียงแข็ง

“คุณก็อย่าทำให้มันยากสิคะ” ฉันว่าแล้วเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าก่อนจะพูดต่อ “คุณกลับไปเถอะค่ะ ฉันเหนื่อย ฉันอยากพักผ่อน”

ฉันเดินหนีออกมาเมื่อพูดจบ ไม่อยากจะคุยอะไรต่อจากนี้แล้ว

ทว่า...

คุณดีแซมวิ่งเข้ามากอดฉันจากทางด้านหลังรั้งไม่ให้เดินหนีไปอีก เขากอดฉันแน่นมากแทบหายใจไม่ออก

“ฉันไม่มีทางทำแบบนั้นได้หรอก ไม่มีวัน” คุณดีแซมพูดข้างหูเสียงหนักแน่น ตอกย้ำแน่ชัดให้ฉันรู้ว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยฉันไปง่าย ๆ แน่

เขาต้องการให้ฉันเจ็บช้ำไปอีกสักแค่ไหนกัน...

“อย่าทำแบบนี้ค่ะคุณดีแซม ฉันไม่ชอบ” ฉันบอกเสียงขุ่นเพื่อให้คุณดีแซมรู้ว่าฉันไม่ชอบใจกับสิ่งที่เขาทำอยู่ ฉันไม่พยายามดิ้นหนี ฉันเหนื่อยที่จะสู้กับเขาแล้ว

“เธอทำอย่างที่พูดได้รึไง” คุณดีแซมถามเสียงสั่นเครือ ฟังดูเจ็บปวดอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ได้สิคะ ทำไมฉันจะทำไม่ได้ล่ะ”

“อย่าเย็นชากับฉันมะลิ ฉันไม่มีวันทำได้หรอกให้กลับไปเป็นเหมือนเก่าน่ะ”

“...” ฉันยืนนิ่ง น้ำตาไหลเป็นทาง ปล่อยให้คุณดีแซมพูดอยู่แบบนั้น

“ฉันอยากขอโทษกับสิ่งเลว ๆ ที่ฉันทำกับเธอ ฉันรู้ว่ามันคงยากที่เธอจะให้อภัย แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่าฉันจะรับผิดชอบสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมด”

“คุณไม่ต้องรับผิดชอบอะไรในตัวฉันหรอกค่ะ ขอแค่คุณอย่ามาที่นี่อีกก็พอ”

พูดจบฉันก็ออกแรงดันมือคุณดีแซมออกจากตัวสุดแรงแล้ววิ่งหนีขึ้นบ้านไป ฉันปิดประตูแล้วลงกลอนได้ทันก่อนที่คุณดีแซมจะวิ่งตามเข้ามาได้

“อย่าทำแบบนี้สิมะลิ ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” ไม่ว่าเปล่า คุณดีแซมยังทุบประตูเสียงดังเพื่อให้ฉันออกไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง ทำไมเขาถึงพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้นะ

“ฉันบอกให้คุณกลับไปได้แล้วคุณดีแซม ถ้าคุณไม่กลับไปดี ๆ ฉันจะโทรเรียกตำรวจมาลากคุณออกไปนะ” ฉันไม่ได้ขู่นะ ฉันจะทำจริง ๆ ถ้าเขายังมาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่แบบนี้ เกิดเพื่อนบ้านมาได้ยินเข้าคงจะดูไม่ดี

“ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องเถอะนะมะลิ อย่าหลบหน้าฉัน อย่าทำอย่างนี้ ฉันขอร้อง” คุณดีแซมบอกเสียงอ่อนลงมาก

ความอ่อนแอของคุณดีแซมที่ฉันไม่เคยเห็น...ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเห็นใจเขาเลยสักนิด

“ฉันเตือนคุณแล้วนะ กลับไปซะเถอะค่ะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณทั้งนั้นแหละ อย่าเจอกันอีกเลย ส่วนเรื่องเงินน่ะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าถ้าเก็บเงินครบจะจัดการให้คุณเอง ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”

“ฉันไม่ได้ต้องการเงินนั่นสักนิด ฉันต้องการแค่...”

“หยุดพูดเถอะค่ะ ฉันอยากพักผ่อน ถ้าคุณยังไม่ยอมกลับไป ฉันจะโทรเรียกตำรวจจริง ๆ นะคะ” ฉันตัดบทคุณดีแซมพลางล้วงมือถือเครื่องเก่าของตัวเองออกจากกระเป๋าเตรียมกดโทรเรียกตำรวจ

ในเมื่อเขาไม่ยอมฟัง โอเค...ฉันก็จะทำอย่างที่บอก

____________________________

[::D-Sam’s Part::]

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นคนอ่อนแอขนาดนี้มาก่อนจนมาถึงวินาทีที่มะลิบอกให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม...

มันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ยังไงในเมื่อความรู้สึกของผมไม่มีทางกลับไปคิดว่ามะลิเป็นแค่คนรู้จักได้อีกแล้ว ผมเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง จนมาถึงวันนี้...ทุกประโยคจากมะลิที่ผมได้ยินทำให้ผมอยากร้องไห้

สิ่งที่เป็นอยู่ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้ว่านี่คือความผิดพลาดมหันต์ที่ผมทำไว้กับผู้หญิงดีๆคนหนึ่ง ถ้าบทสรุปของเรื่องจบลงด้วยการที่ต่างคนต่างกลับไปยืนในจุดของตัวเอง ผมคงทนไม่ได้

หัวใจผมบีบแน่นเพราะแค่หน้าผมมะลิก็ยังไม่อยากมอง ผมตะโกนเรียกเธออยู่หน้าประตูบ้านอยู่พักใหญ่แล้วมะลิก็ไม่ตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่คำเดียวอย่างกับว่าเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้

ไม่ใช่แค่มะลิหรอกที่โกรธผมจนแทบไม่อยากมองหน้า แม่ผมก็เหมือนกัน ถามคำตอบคำ บรรยากาศในบ้านมันอึดอัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเข้าใจดีว่าทำไมแม่ถึงเป็นแบบนี้ ผมยอมรับว่าเรื่องนี้ผมเป็นคนผิดจริง ๆ

ผมไม่อาจนั่งนอนอยู่บ้านเฉย ๆ ได้ ในหัวมีแต่หน้ามะลิไม่ห่างหายผมจึงตัดสินใจบึ่งรถมาที่นี่เพราะผมไม่คิดว่ามะลิจะกลับไปอยู่ที่คอนโดแน่ ๆ และเธอก็ทำให้ผมตกใจเมื่อเธอบอกว่าเธอย้ายของออกมาจากคอนโดผมแล้ว

ผมทำให้เรื่องทุกอย่างเริ่มแย่ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เรื่องมันก็แย่อยู่แล้วผมยังมาทำให้มันแย่ลงกว่าเดิมจนไม่รู้จะแก้ไขยังไงแล้ว

ผมยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิมเพราะคนที่เป็นคนถูกกระทำกลับเอ่ยขอโทษผมก่อนด้วยซ้ำ...

และแล้วเรื่องที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...

รถตำรวจคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดอยู่หน้าบ้าน นายตำรวจสามคนลงจากรถเดินมาทางผม

ไม่น่าเชื่อว่ามะลิจะโทรเรียกตำรวจมาลากคอผมจริง ๆ!!

[::End : D-Sam’s Part::]


Hello!! My Cinderella นางซินหน้าใสขอเขย่าหัวใจคุณชายเพลย์บอย
คุณสามารถใช้ปุ่มลูกศรซ้าย/ขวาเพื่อถอยหลัง/ไปข้างหน้า
ประเมิน: 10.0/10 จาก 27 โพล
loading...