Hello!! My Cinderella นางซินหน้าใสขอเขย่าหัวใจคุณชายเพลย์บอย
Chapter 59 : ระหว่างศักดิ์ศรีกับความรัก
เพราะเป็นห่วงกะทิพอเลิกเรียนวันนี้ฉันยังไม่ไปหางานทำ ก่อนกลับบ้านฉันไปแวะซื้อหมูปิ้งมาให้กะทิด้วย ฉันไม่เคยเลี้ยงสัตว์เลยไม่รู้ว่าต้องเลี้ยงยังไงน่ะ T^T ฉันเลยลองเอาพวกไก่ย่าง หมูย่างมาสับคลุกข้าวให้กะทิก่อน ถ้าไอ้ตัวเล็กกินไม่ได้ฉันก็คงต้องไปดูอาหารสุนัขดี ๆ มาให้มันแล้วล่ะ
พูดถึงหมูปิ้งฉันก็นึกขึ้นได้ ยังจำกันได้ใช่มั้ยว่าก่อนหน้านี้แทนชอบซื้อหมูปิ้งกับกุหลาบสีขาวไปแขวนหน้าล็อคเกอร์ให้ฉันทุกวัน หลังจากที่รู้ความจริงว่าเขาคือใครเขาก็ไม่ได้เอาอะไรแบบนั้นไปให้ฉันอีกเลย เหมือนเขารู้ใจฉันนะว่าถ้ายิ่งเขาทำแบบนั้นก็เหมือนจะตอกย้ำเข้าไปอีกว่ามันไม่ใช่ความจริง...เขาไม่ใช่แทน
ส่วนเรื่องคนที่มาดูแลบ้านฉันน่ะ เมื่อก่อนคุณดีแซมจ้างคนมาดูแลให้แต่สุดท้ายคนที่มาดูแลกลับเป็นแทน ให้ฉันเดาฉันก็คงคิดว่าคุณแซนแทนคงจ้างลุงคนนั้นออกเพื่อที่เขาจะได้มาทำหน้าที่แทน
ไม่รู้ว่าเขาทำไปทำไม...
ช่างเถอะนะ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว กลับมาสนใจกะทิดีกว่า ดูสิ พอเห็นฉันเปิดประตูรั้วบ้านเข้าไปก็วิ่งหางส่ายดุ๊กดิ๊ก ๆ มาหา มันคงดีใจนะที่เจอฉัน
ตอนนี้...กะทิคือสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันยิ้มได้อย่างเต็มหัวใจ
เมื่อวานฉันจับกะทิอาบน้ำทันที จากหมาน้อยมอมแมมกลายเป็นหมาน้อยน่ารักขึ้นมาทันที ว่าง ๆ ฉันก็คิดอยู่ว่าจะนั่งตัดชุดสวย ๆ ให้กะทิใส่ คงจะน่ารักดีนะคะว่ามั้ย อ้อ ลืมบอกไป กะทิเป็นสุนัขเพศเมียค่ะ ^_^
ฉันเลี้ยงกะทิไว้ใต้ถุนบ้าน ฉันไปหาลังไม้อันอันเก่าที่ยังแข็งแรงอยู่มาทำเป็นบ้านให้กะทิ เสียสละผ้าห่มผืนเล็กมาปูให้กะทิเผื่อฝนตกมาอากาศมันหนาวกะทิจะได้อุ่น ๆ
ฉันเดินนำกะทิเข้าบ้านมา มันก็วิ่งตามมาพร้อมกับเห่าเสียงแหลมเล็ก ฉันว่ามันคงหิวแล้วล่ะ
“รอก่อน อย่าเพิ่งโมโหสิ” ฉันพูดกลั้วหัวเราะในตอนที่กำลังเตรียมข้าวให้กะทิเพราะไอ้ตัวเล็กเห่าไม่หยุดเลย
เกิดมาได้ไม่กี่วันนี่กินเก่งมากขนาดนี้ ไม่ต้องคิดเลยว่าถ้าโตแล้วมันจะแย่งฉันกินขนาดไหน ^^;;
เมื่อคลุกข้าวให้กะทิเสร็จฉันก็เอามาให้ไอ้ตัวเล็กที่มองฉันตาแพรวแพรว ยังไม่ทันที่ฉันจะได้วางจานข้าวแตะพื้นเลยกะทิก็เข้ามาแย่งกินข้าวซะแล้ว
“เฮ้ นี่แกชักจะตะกละเกินไปแล้วนะ”
ฉันนั่งมองกะทิกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความเอ็นดู มันกินเร็วมากอย่างกับกลัวว่าจะมีคนแย่งกินอย่างนั้นแหละ ก่อนที่จะมาเจอฉันมันคงหิวมากเลยสินะ
ในตอนนั้นเอง รถยนต์คันหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านฉัน พอมองไปก็เห็นเจ้าของเปิดประตูลงมาจากรถ เขาถือข้าวของมาเต็มสองมือ
“ผมขอเข้าไปได้มั้ยมะลิ” คุณแซนแทนหยุดยืนตรงหน้าบ้าน เขาเอ่ยขออนุญาตฉันโดยที่ไม่ยังไม่ข้ามเขตรั้วบ้านมาด้วยซ้ำทั้ง ๆ ที่ฉันก็เปิดมันทิ้งไว้อยู่
บอกเลยว่าเขาทำให้ฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้...
คุณแซนแทนยืนยิ้มหวานอยู่หน้าบ้าน เมื่อฉันไม่ตอบอะไรไปสักทีรอยยิ้มนั้นก็เจื่อนลงเรื่อย ๆ จนในที่สุด...
“เข้ามาสิคะ” ฉันบอกแค่นี้แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้รอยยิ้มของผู้ชายคนนั้นกลับมา
พอได้รับอนุญาตแล้วคุณแซนแทนก็เดินหน้าบานข้ามประตูเขตรั้วมา
“มะลิทานข้าวเย็นหรือยังครับ วันนี้ผมซื้อ...”
พลั่ก!!
ยังไม่ทันที่คุณแซนแทนจะพูดจบด้วยซ้ำ ร่างทั้งร่างก็ล้มลงกับพื้นทันที ยังผลให้ร่างสูงล้มลงไปทับถุงกับข้าวที่เขาซื้อมาแตกกระจายเต็มพื้น
อะไรกันเนี่ย นี่คุณแซนแทนซุ่มซ่ามสะดุดก้อนหินตรงลานหน้าบ้านฉันได้ยังไง!
ฉันรีบวิ่งไปดูคนซุ่มซ่ามอย่างเป็นห่วงพร้อมกับที่คุณแซนแทนพลิกตัวขึ้นมา เศษอาหารต่าง ๆ ติดเต็มตัวเขาไปหมด กุ้งตัวโตจากต้มยำกุ้งหล่นแหมะลงกับพื้น กะทิเห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งมาจัดการทันที
“บ้าเอ๊ย!” คุณแซนแทนสบถเบาๆอย่างหัวเสีย
“เจ็บรึเปล่าคะ” ฉันรีบปัดเศษอาหารออกจากตัวคุณแซนแทน เดี๋ยวน้ำแกงจะโดนตัวเขามันจะแสบเอาน่ะสิ เมื่อกี้เขาต้องล้มแรงมากแน่เลย ไม่งั้นถุงกับข้าวพวกนี้คงไม่แตะเละเทะแบบนี้หรอก
“ผมไม่เจ็บหรอกครับ” คุณแซนแทนยิ้มแหย เขาคงเขินที่ทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าฉัน “ขอโทษนะครับมะลิ อดกินเลยอ่ะ”
“ช่างมันเถอะค่ะ ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่ซื้อกับข้าวพวกนี้มา” ฉันไม่สนใจกับข้าวพวกนี้หรอก ถึงแม้จะแอบเสียดายนิดหน่อยก็ตาม =_=
เราสองคนเงียบกันไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นดี ไม่นานฉันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพคุณดีแซมกับหน้าเหวอ ๆ ของเขา
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเยาะเขานะ แต่มันอดขำไม่ได้จริง ๆ นี่นา
“ฮ่าๆๆๆๆ” พอเห็นฉันหัวเราะ คนตรงหน้าก็เอาบ้าง
ไม่รู้ทำไม...พอได้หัวเราะด้วยกันแบบนี้แล้วทำให้ฉันใจเย็นกับเรื่องคุณแซนแทนขึ้น และ...ลืมความรู้สึกเหมือนโดนหักหลังนั้นไปช้า ๆ
“นี่หมามะลิเหรอ น่ารักดีนะ ทำไมผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยล่ะ” คุณแซนแทนถาม มือหนายื่นไปลูบหัวกะทิอย่างนึกเอ็นดู
“ค่ะ ฉันเพิ่งเก็บมันมาเลี้ยงเมื่อวานน่ะ” ฉันตอบก่อนจะช่วยพยุงคุณแซนแทนให้ลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณครับ”
ฉันยิ้มรับคำขอบคุณนิด ๆ ฉับพลันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว
“ถ้าคุณไม่รังเกียจฉันจะไปค้นเสื้อผ้าของพ่อฉันมาให้คุณใส่ ส่วนคุณก็ไปอาบน้ำก่อนแล้วกันนะคะ” ฉันทนมองคุณแซนแทนในสภาพมอมแมมแบบนี้ไม่ได้เลยยื่นข้อเสนอให้ ไม่รู้ว่าคนรวยอย่างเขาจะรังเกียจเสื้อผ้าเก่า ๆ ของพ่อฉันที่ตายไปแล้วหรือเปล่า
ทว่า...
“ผมไม่มีวันรังเกียจครอบครัวมะลิหรอก ขอบคุณนะครับ” คุณแซนแทนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
“ส่วนกับข้าวที่คุณซื้อมาฉันว่าคงทานไม่ได้แล้วล่ะค่ะ งั้นคุณไปอาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวฉันจะทำกับข้าวให้คุณทานก็แล้วกัน”
เป็นครั้งแรกที่ฉันทำกับข้าวให้คุณแซนแทนทาน แค่อาหารธรรมดา ๆ แต่เขากลับนั่งทานจนหมดเกลี้ยงเลยล่ะ
“อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” ฉันถามพลางดูคุณแซนแทนที่นั่งซดน้ำแกงจืดจนเกลี้ยงชาม
“อร่อยมาก ๆ เลยล่ะครับ” คุณแซนแทนเลียปากเหมือนเด็กเลย เขาทำให้ฉันหลุดขำออกมาอีกแล้ว
หลังจากที่คุณแซนแทนไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของพ่อฉันเรียบร้อยแล้ว เราก็มานั่งทานข้าวเย็นกันใต้ถุนบ้านรับลมเย็น ๆ ตั้งแต่วันงานฉันก็ไม่คิดว่าเราจะมีโมเม้นต์แบบนี้อีก
มันยากที่จะเชื่อว่าผู้ชายคนนี้สามารถทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว และเขาก็ค่อย ๆทำลายกำแพงความรู้สึกที่ฉันมีกับเขาก่อนหน้านี้ไปทีละช้า ๆ
กะทิพอกินอิ่มหนำสำราญแล้วก็หนีไปวิ่งเล่นในสวนมะลิโน่นแน่ะ บางทีฉันก็คิดนะว่ากะทิโชคดีนะ เกิดเป็นหมาไม่ต้องมานั่งคิดมากอะไรเหมือนคน
“ผมดีใจนะที่เห็นมะลิยิ้มได้แบบนี้” อยู่ ๆ คุณแซนแทนก็พูดประโยคนี้ขึ้น เขาทำให้ฉันรู้ตัวว่าฉันเผลอยิ้มกับการกระทำของเขา
“จะให้ฉันหน้าบูดบึ้งตลอดเวลามันก็เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องอะไรที่มันทำให้ฉันทุกข์ใจฉันก็ไม่อยากจะคิดถึงมันหรอก” ฉันถอนหายใจยาว รู้สึกปลงขึ้นเยอะเลย
แต่มีบางคนที่ฉันไม่สามารถตัดออกไปจากหัวใจได้เลย...
“นั่นน่ะสินะ” คุณแซนแทนว่า เขาเกาคอตัวเองแก้เก้อเหมือนเขากำลังคิดว่าฉันหาว่าเขาถามคำถามไร้สาระ “ตั้งแต่วันนั้นน่ะ มะลิก็ไม่รับโทรศัพท์ผมเลยนะ”
คุณแซนแทนจ้องหน้าฉัน น้ำเสียงเขาเริ่มจริงจัง ดวงตาคมที่สบมาแสดงออกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ นี่เขาคงคิดว่าฉันไม่รับสายแค่เขาคนเดียวแน่เลย
“ฉันแค่อยากอยู่กับตัวเองน่ะค่ะ”
“ผมเป็นห่วงมะลินะ”
“ขอบคุณในความเป็นห่วงนะคะ แต่ฉันสบายดี พอมาอยู่บ้านแล้วอะไร ๆ มันก็ดีขึ้น ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” ฉันยิ้มให้คนตรงหน้าสำหรับความหวังดีที่เขามีให้ฉันตลอด
“ผมดีใจนะที่ได้ยินมะลิพูดแบบนี้” คุณแซนแทนฉีกยิ้มกว้างก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหมองลงเมื่อเขาพูดประโยคต่อมา “ผมอยากให้มะลิรู้ว่าสิ่งที่ผมทำไปก่อนหน้านี้มันคือความรู้สึกของผมจริง ๆ ผมหวังดีกับมะลิจริง ๆ นะครับ ผมรู้ว่าผมทำให้มะลิเสียความรู้สึกมากกับเรื่องนั้น แต่นับจากนี้ไป ถึงถวามรู้สึกที่ผมทำให้เสียไปมันจะเรียกกลับคืนมาไม่ได้ แต่ผมจะสร้างมันขึ้นมาอีกครั้ง”
หัวใจฉันกระตุกวูบกับประโยคจริงจังและสายตามุ่งมั่นที่แสดงออกมาให้ฉันได้เห็น...หัวใจเต้นแรงแปลกๆเมื่อได้ฟังประโยคนั้น
“ทำไมคุณถึงดีกับฉันขนาดนี้คะ?” ถึงแม้จะฟังดูโง่ที่ถามแบบนี้ แต่ฉันก็อยากรู้เหตุผลลึก ๆ ของผู้ชายคนนี้จริง ๆ
“เพราะผมรักมะลิ รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ผมอยากเริ่มต้นใหม่กับมะลิ”
“แต่คุณแม่คุณไม่ชอบฉัน” ฉันพูดสวนกลับไปแทบจะในทันที
รู้มั้ยว่าใจหนึ่งฉันก็รู้สึกดีใจและรู้สึกดีมาก ๆ ที่ผู้ชายดี ๆ คนหนึ่งมอบความรู้สึกดี ๆ ให้แบบนี้...แต่ลึก ๆ ในใจ เหมือนหัวใจฉันมันไม่เปิดรับใครอีกแล้ว มันไม่สามารถเปิดรับใครได้อีกคน
“ไม่ต้องสนแม่ผมหรอก ถึงยังไงผมก็ไม่ใช่ลูกรักของพ่อแม่อยู่แล้ว” คุณแซนแทนพูดเหมือนไม่ใส่ใจอะไรที่ไม่ได้รับความรักจากครอบครัวเต็มที่ แต่ฟังจากน้ำเสียงเขาฉันก็สัมผัสได้ถึงความน้อยใจอยู่ไม่น้อย
“ถึงยังไงพวกท่านก็เป็นคนในครอบครัวคุณ คุณไม่ควรพูดอย่างนี้นะคะ” ฉันจ้องตาคุณแซนแทนนิ่ง ฉันอยากให้เขารู้ว่าเขาเป็นคนที่โชคดีแค่ไหนที่มีครอบครัว “คุณน่าอิจฉามากคุณรู้มั้ยคะ คุณมีทั้งคุณพ่อคณแม่ แต่คุณดูฉันสิ ฉันไม่เหลือใครเลย คุณโชคดีจะตาย ^^”
ฉันยิ้มให้กำลังใจร่างสูง คุณแซนแทนนั่งเงียบ ไม่นานเขาก็เผยรอยยิ้มเศร้าๆออกมาให้ฉันได้เห็น
“มันไม่เหมือนกันหรอกครับ ผมเหมือนไม่มีตัวตนในบ้านด้วยซ้ำ ทุกคนรักแต่พี่ชายผม”
“...”
“มันไม่แปลกหรอกผมรู้ ก็ไอ้เพชรมันเก่งไปซะทุกอย่าง เป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัว ต่างจากผมที่เป็นเด็กเกเรจนถูกจับไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่เด็ก ๆ”
“พอแล้วค่ะคุณแซนแทน” ฉันบอกเสียงเบาเพราะไม่สามารถทนเห็นความเศร้าจากดวงตาคมที่เคยสดใสตลอดเวลาได้อีกแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาดึงความทรงจำที่ไม่ดีในอดีตของเขาออกมา ถ้ามันจะทำให้เขามีความสุขฉันว่าให้เขาเก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ดีกว่า
“ฮ่าๆๆๆ ขอโทษทีนะที่ผมทำให้บรรยากาศอึดอัด” คุณแซนแทนกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ถึงแม้เสียงหัวเราะของเขาจะฟังดูแหม่งๆก็เถอะ “ลืมเรื่องผมไปเถอะนะครับ ไร้สาระน่ะ ส่วนเรื่องของเราผมจริงจังนะมะลิ”
“...”ฉันเอาแต่นั่งเงียบ ดวงตาคมมองมาอย่างขอคำตอบ
ฉันจะเริ่มต้นใหม่กับคุณแซนแทนได้ยังไงในเมื่อหัวใจฉันอยู่กับคนที่ทำให้ฉันเจ็บช้ำที่สุด ถ้าเขาหมายถึงในฐานะเพื่อนฉันพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ แต่ถ้าเป็นฐานะคนรัก...มันคงยากที่จะเริ่มต้น
“ผมไม่รีบร้อนเอาคำตอบตอนนี้ก็ได้ครับ ผมอยากให้มะลิเก็บเรื่องนี้ไปคิดก่อน มะลิพร้อมเมื่อไหร่ค่อยให้คำตอบผมก็ได้ครับ”
“คือฉัน...” มันยากที่จะพูดจริง ๆ นั่นแหละ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วผ่อนมันออกมายาวๆ ก่อนจะพูด “คือตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมที่จะคิดเรื่องนั้นหรอกค่ะ ตอนนี้น่ะฉันมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกเยอะ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องขึ้นวอร์ด ไหนจะเรื่องหนี้อีกล่ะ ตอนนี้ฉันก็ดู ๆ งานอยู่น่ะค่ะ ว่าจะหาเงินไปคืนคุณดีแซม”
คุณแซนแทนเงียบไปพักหนึ่ง เขานิ่งอึ้งไปเหมือนกัน เขาคงไม่คิดว่าฉันจะพูดแบบนี้...เขารู้ว่าฉันกำลังปฏิเสธเขาทางอ้อม
“ผมบอกมะลิแล้วผมยังไม่เอาคำตอบ” คุณแซนแทนปัดเรื่องนี้ทิ้ง ดูท่าทีเขาก็คงจะดื้อไม่น้อย เขาไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อสักครู่ “พูดถึงเรื่องหนี้น่ะ ผมจัดการให้มะลิดีมั้ย?”
“ไม่เอาหรอกค่ะ หนี้ก้อนนี้ฉันเป็นคนสร้างขึ้นมาฉันไม่มีหน้าไปให้ใครรับผิดชอบหรอกนะ”
ฉันพูดจากใจเลย ถ้าต้องเอาเงินคุณแซนแทนไปจ่ายให้คุณดีแซมมันก็หนี้เหมือนกันนั่นแหละ แค่เปลี่ยนเจ้าหนี้แค่นั้น สมมติว่าคุณแซนแทนจะไม่เอาคืนเลยก็ตามฉันไม่อยากทำแบบนั้นหรอก มันเหมือนให้คนอื่นมารับผิดชอบความผิดพลาดที่ฉันก่อไว้
“งั้นผมให้ยืมเงินก่อนก็ได้ ผมไม่อยากให้ดีแซมใช้เรื่องนี้มายุ่งเกี่ยวกับมะลิอีก”
“ขอบคุณที่ใจดีกับฉันนะคะ” ฉันยิ้มให้คนตรงหน้าด้วยความยินดีกับไมตรีที่มีให้กัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...” แต่ฉันอยากใช้หนี้ด้วยตัวเอง ฉันอยากพยายามหางานก่อนน่ะค่ะ ถึงเงินมันจะน้อย แต่เก็บนิดออมหน่อย ห้าหมื่นมันก็คงจะถึงแหละ ฮ่าๆๆ”
ฉันหัวเราะเหมือนไม่คิดอะไรเพราะไม่อยากให้คุณแซนแทนคิดมาก แค่นี้เขาก็ยังกระวนกระวายเรื่องฉันจะแย่ เอาเข้าจริง ๆ เงินห้าหมื่นนี่มันเยอะมากเลยนะ T^T
“ผมช่วยมะลิหางาน...”
“ฉันบอกแล้วไงคะว่าอยากพยายามด้วยตัวเอง”
“โอเคครับ ถ้ามะลิมีปัญหาเมื่อไหร่บอกผมได้เสมอนะ ผมพร้อมจะช่วยตลอดเวลาเลย”
จิตใจคนเราเป็นอะไรที่น่ากลัวนะฉันว่า มันบังคับไม่ได้ สั่งให้ทำอะไรก็ไม่ทำตาม...สำหรับฉันแล้วหัวใจคืออวัยวะที่เกินความสามารถในการควบคุม
ทำไมฉันถึงตัดใจจากคุณดีแซมมาชอบคุณดี ๆ อย่างคุณแซนแทนไม่ได้กันนะ...
_________________________
[::D-Sam’s Part::]
ณ คอนโด S…
ผมนอนคิดทั้งคืนเรื่องที่คุยกับเพื่อนเมื่อวาน ตอนนี้ผมได้ข้อสรุปแล้วว่าผมคงต้องทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองและยอมขอร้องน้ำใสให้ปล่อยผมกับมะลิไปสักที
สิ่งที่ไบรอันพูดมาผมว่ามันพูดถูก บางทีผมต้องเลือกระหว่างศักดิ์ศรีของตัวเองกับความรัก เพราะมะลิสำคัญกับผมมากที่สุดในชีวิต
ก่อนที่ผมจะแตะต้องมะลิได้ ผมคงต้องเคลียร์กับน้ำใสให้รู้เรื่องซะก่อน ถ้าถามว่าผมจะรู้ได้ยังไงว่าน้ำใสจะยอมปล่อยผมไป เพราะผมไม่รู้คำตอบผมถึงต้อง ‘ลองเสี่ยง’ ดู
ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว...จะให้ถอยก็ไม่ได้เพราะตอนนี้ผมอยู่หน้าห้องคอนโดที่ให้น้ำใสอยู่แล้ว
ก๊อกๆๆๆ ~
ผมเคาะประตูเรียกให้คนในห้องมาเปิด จะมาดีทั้งทีก็คงต้องมีมารยาทกันสักหน่อย ผ่านไปสักพักก็ยังไม่เห็นมีคนมาเปิดผมจึงตัดสินใจใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไป บางทีความใจร้อนของผมมันก็มีมากกว่ามารยาท
ผมเดินเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เห็นคือระเบียงห้องเปิดไว้อยู่ ผ้าม่านสีแดงเข้มที่น้ำใสเอามาเปลี่ยนปลิวสไหวเบา ๆตามแรงลม ไม่นานร่างเล็กของคนที่ผมอยากจะเจอก็เดินเข้ามาจากนอกระเบียง น้ำใสคงไปยืนรับลมเย็น ๆ ตรงนั้นล่ะมั้ง
“วันนี้มีมารยาทนะคะ เคาะประตูด้วย” น้ำใสแขวะผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ถ้าให้ผมพูดตามความจริงนะ น้ำใสเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยล่ะ ผมไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ หรือเธอมีปมอะไรในใจหรือเปล่าที่ทำให้เธอมีสภาพจิตใจไม่คงที่แบบนี้
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” ผมพูดเสียงเรียบไม่ต่างจากคนตรงหน้า บอกเลยว่าวันนี้ผมต้องใช้สติควบคุมอารมณ์ตัวเองเป็นพิเศษ
“คนอย่างพี่ดีแซมจะมีเรื่องอะไรได้ถ้าไม่ใช่เรื่องของมะลิ หึ!” น้ำใสกระแทกเสียงในคออย่างประชดประชัน ดวงตากลมโตสั่นระริกอย่างปวดร้าว
ทั้ง ๆ ที่ผมทำไม่ดีกับเธอหลาย ๆ อย่าง ทำไมน้ำใสถึงยังไม่ตัดใจจากผมไปอีกนะ ทำไมเธอถึงมีความอดทนสูงขนาดนี้
“ใช่” ผมตอบและยังคงสบตากับน้ำใสนิ่ง เวลาของผมมีค่า ผมไม่อยากพูดพร่ำเพ้อพรรณนาอะไรให้เสียเวลาอีกแล้ว “เธอรู้ใช่มั้ยว่าฉันรักมะลิ”
“แล้วไงคะ?”
“แล้วเธอก็รู้ใช่มั้ยว่าฉันไม่ได้รักเธอ เธอรักฉันฉันรู้ดี เพราะรักเธอถึงอยากอยู่กับฉัน อยากอยู่ใกล้ๆฉัน มันไม่ต่างกันเลยน้ำใส”
“...”
“ฉันอยากอยู่ใกล้คนที่ฉันรัก ฉันอยากอยู่กับมะลิ ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปสักทีเถอะนะ”
“...”
“ฉันทนเห็นคนที่ฉันรักถูกทำร้ายไม่ได้ มันเจ็บปวดไม่ต่างจากฉันโดนทำร้ายเองหรอกเธอรู้มั้ย เพียงเพราะแค่ฉันไม่ได้รักเธอแต่ฉันกลับมอบความรู้สึกดี ๆ ให้เพื่อนเธองั้นเหรอเธอถึงไปทำร้ายยัยนั่น มะลิไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะ ถ้าเธออยากทำร้ายก็มาทำร้ายฉันนี่”
ผมพูดทั้งหมดออกมาจากใจลึก ๆ มันออกมาจากความรู้สึกทั้งหมดกับเรื่องราวค้างคาของพวกเรา ผมไม่ได้ใช้อารมณ์ วันนี้ผมจะมาพูดด้วยเหตุผล ผมแค่อยากปกป้องผู้หญิงที่ผมรักก็แค่นั้นเอง
น้ำใสได้แต่ยืนเงียบ ดวงตากลมสวยเต็มไปด้วยน้ำตา ผมรู้เธอเสียใจ คำพูดของผมมันคงจะทำร้ายจิตใจน้ำใสมาก ผมไม่ได้ดีใจหรอกนะที่เห็นน้ำใสเสียใจ ผมเองก็เสียใจ
เมื่อก่อนมันก็ใช่ที่ผมอยากเห็นน้ำใสเสียใจเพียงเพราะความสะใจของตัวเอง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ทุกฝ่ายต่างก็เจ็บปวดเพราะการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกต้องของผม เพราะความโกรธที่มะลิโดนทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ผมตัดสินใจโดยไม่ได้คิดอะไรให้ดีก่อน
“เธอบอกว่าถ้าฉันคุกเข่าอ้อนวอนเธอ เธอจะเลิกยุ่งกับมะลิใช่มั้ย?” ผมถามย้ำร่างเล็กตรงหน้าอีกครั้ง น้ำใสไม่ตอบอะไร เธอได้แต่ยืนร้องไห้ฟูมฟายอยู่แบบนั้น “ได้ ฉันจะทำ”
ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น ก้มหัวให้คนตรงหน้า...อย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรีใด ๆ
“ขอร้องล่ะ ช่วยปล่อยฉันกับมะลิไปเถอะนะน้ำใส”
“ฮือออออๆๆๆ” น้ำใสยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีกเมื่อเธอเห็นสภาพผมในครั้งนี้
“เธออยากได้อะไรฉันให้เธอได้ทั้งนั้น แต่ความรักฉันให้เธอไม่ได้”
“ฮือออออออ”
“ถ้าเธออยากอยู่ที่นี่ต่อฉันก็ไม่ว่าอะไร ฉันจะยกคอนโดนี้ให้เธอ แต่ได้โปรดเถอะนะ เห็นใจฉันเถอะ”
“...”
“ขอร้องล่ะ...”
“คนรักศักดิ์ศรีอย่างพี่ดีแซมยอมคุกเข่าให้คนที่เกลียดขนาดนี้ได้ยังไง พี่รักมะลิมากกว่าตัวเองขนาดนี้ได้ยังไง”
“...”
“ไปซะ รีบไปซะ น้ำใสไม่รั้งพี่ดีแซมไว้อีกแล้ว!!” น้ำใสบอกเสียงสั่นแทบจะขาดใจ
แม้ทุกคนจะต้องเจ็บปวดจากเรื่องราวมาก ๆ เหตุการณ์ก่อน ๆ หน้านี้ไม่อาจทำให้ผมเชื่อใจน้ำใสได้เลย...แต่ตอนนี้ความรู้สึกลึก ๆ ของผมกลับรู้สึกได้ว่าน้ำใสพูดจริง
ผมก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน...
“ขอบคุณนะ ขอบคุณจริง ๆ ฉันขอให้เธอได้เจอผู้ชายที่เธอรักและรักเธอมาก ๆ นะน้ำใส” นี่คือคำบอกลาที่ดีที่สุดที่ผมมีให้แก่ผู้หญิงคนนี้
ผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นน้ำใสยืนหันหลังให้ ร่างเล็กสั่นเทิ้มจากการร้องไห้อย่างหนัก ความรักนำมาซึ่งความสุข...แต่เมื่อมันได้ทำร้ายใครสักคนแล้วก็ทำให้คนนั้นเจ็บปวดอย่างสาหัสได้เหมือนกัน
สักวันน้ำใสจะดีขึ้น ผมเชื่อแบบนั้น...
ผมลุกขึ้นแล้วเดินจากมา ปล่อยให้น้ำใสได้อยู่กับตัวเอง บางทีเธอคงจะคิดอะไรได้ คนอย่างน้ำใสรักตัวเอง เธอไม่คิดทำอะไรโง่ๆอย่างการทำร้ายตัวเองหรอก ผมรู้จักเธอดี
[::End : D-Sam’s Part::]
Hello!! My Cinderella นางซินหน้าใสขอเขย่าหัวใจคุณชายเพลย์บอย