Hello!! My Cinderella นางซินหน้าใสขอเขย่าหัวใจคุณชายเพลย์บอย
Chapter 62 : เหมือนจะดี ทำไมมันแย่กว่าเดิม
นี่มันก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่วันนั้น ประจำเดือนฉันก็ยังไม่มาเลย...
ฉันยอมรับเลยว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันเครียดมาก ฉันพยายามมองในแง่ดีไว้เพราะฉันรู้ดีว่าฉันเป็นโรคอะไร มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกน่า
ช็อกโกแลตซีสต์ที่ฉันเป็นอยู่อาจทำให้ประจำเดือนของฉันมาคาดเคลื่อน ทุกทีมันก็เคลื่อนไปไม่กี่วันเองนะ แต่ทำไมรอบนี้มันถึงหายไปนานเป็นอาทิตย์แบบนี้นะ ฉันไม่เคยคิดอยากจะเป็นประจำเดือนขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต คงเป็นเพราะฉันเครียดมากไปนั่นแหละเลยมีผล
คำถามบางคำถามเกิดขึ้นกับฉัน...มันคือคำถามที่คุณดีแซมได้ถามฉันไว้
ถ้าฉันท้องขึ้นมาฉันจะทำยังไง?
ณ เวลานี้ฉันยังตอบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ฉันยังไม่มั่นใจสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้น ให้ตอบตามตรงฉันไม่อยากท้องหรอก ฉันยังเรียนไม่จบ อีกอย่างถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ ฉันคง...จะเก็บลูกเอาไว้ ถึงแม้จะลำบากที่จะเลี้ยงเขา แต่เขาคือเลือดเนื้อของฉันถึงแม้ฉันจะต้องลำบากก็ตาม
เรื่องนี้ทำฉันนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว ถ้าอาทิตย์หน้าประจำเดือนฉันยังไม่มาอีกฉันคงต้องไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจแล้วล่ะ
ตั้งแต่โดนไล่ออกจากร้านบะหมี่ฉันก็ตระเวนหางานทำไปทั่วหลังเลิกเรียน งานมันไม่ได้หาง่ายๆเลย กว่าจะหาได้ก็เล่นเอาร่างฉันแทบแหลกสลายเหมือนกันนะ =__=^^
วันนี้เป็นวันเสาร์ฉันตื่นแต่เช้ามาทำงาน อยากรู้ใช่มั้ยล่ะว่ามันคืองานอะไร ฉันทำงานเป็นพนักงานต้อนรับควบกับงานแจกใบปลิวอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ฉันต้องใส่ชุดมาสคอตริลัคคุมะสีชมพูน่ารักๆด้วย ค่าจ้างคุ้มนะสำหรับฉันที่ต้องยืนนาน ๆ และต้องทนร้อนเพราะชุดตุ๊กตายักษ์นี่อีก
งานนี้ฉันหาได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ฉันเริ่มงานตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้วเหมือนกัน ทั้งยืนต้อนรับหน้าร้านและแจกใบปลิวไปด้วย ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุกดี
ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ เป็นร้านนั่งชิลล์สไตล์ญี่ปุ่น ด้านในร้านกินพื้นกว้างขวาง มีเบาะเล็ก ๆ รองนั่งบนพื้นกับโต๊ะญี่ปุ่นเตี้ย ๆ ส่วนด้านนอกจะเป็นสวนหญ้าประดับด้วยดอกไม้หลากสีสันอย่างสวยงาม มีโต๊ะให้ลูกค้านั่งเปลี่ยนบรรยากาศมารับลมเย็นๆข้างนอก ส่วนด้านหลังร้านก็จะมีน้ำตกเล็ก ๆ เสียงน้ำตกเป็นตัวช่วยสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอคุณดีแซมอีกเลย ฉันหลบหน้าเขาทุกวิถีทางที่จะทำได้ เวลาเขาโผล่ไปที่ตึกคณะฉันก็จะรีบหนีออกมาอีกทาง เวลาเขามาดักรอหน้าบ้าน ฉันก็จะไม่เข้าไปปรากฏตัวให้เขาเห็นจนกว่าเขาจะกลับไป การที่เขาไม่รู้ว่าฉันทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนถือว่าดีที่สุด ฉันไม่อยากโดนเขาก่อกวนจนต้องโดนไล่ออกจากงานอีก
วันนั้นน่ะ...ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องการประชดคุณดีแซมนัก ฉันยืนคุยโทรศัพท์กับคุณแซนแทนต่อหน้าเขา ตกลงไปเที่ยวกับคุณแซนแทนต่อหน้าเขา...ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่ดี
ส่วนคุณแซนแทนพอรู้ว่าฉันกำลังหางานทำเขาก็เสนอความช่วยเหลือมาให้เต็มที่ แน่นอนว่าฉันปฏิเสธไป ฉันไม่อยากรบกวนเขาที่ต้องลำบากมาหางานให้ฉันน่ะ แค่ฉันไปโผล่หน้าในงานสำคัญของครอบครัวเขายังทำให้เขากับแม่มีปัญหากันจะแย่ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณแซนแทนกับครอบครัวไม่ค่อยดีนัก ฉันไม่อยากให้มันต้องแย่ไปมากกว่านี้น่ะ ปัจจุบันนี้เราก็ติดต่อกันเหมือนเดิมนะ ก็มีบ้างที่ฉันออกไปทานข้าวข้องนอกกับเขา
พักนี้ฉันไม่ได้สนใจใครเลยจริง ๆ ฉันยุ่งแต่เรื่องตัวเอง เอาล่ะ อย่ามัวแต่พูดอยู่เลยนะ ได้เวลาไปสวมชุดมาสคอตแล้วล่ะ เวลาฉันเป็นเงินเป็นทองมากพักนี้ T^T
“มาแล้วเหรอครับพี่มะลิ มาแต่เช้าเลยนะครับ ^^” น้องริวกิ หนุ่มแว่นหน้าตาดีลูกเจ้าของร้านเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มเมื่อฉันเดินเข้าไปในร้าน หนุ่มคนนี้เป็นลูกครึ่งไทย – ญี่ปุ่น เขาหน้าตาดีมากกกกกกกกกกก เขาไม่ได้มีดีแค่หน้าตานะคะ เขายังเรียนเก่งมาก ๆ อีกด้วย ตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน เขาเรียนคณะแพทยศาสตร์ชั้นปีที่หนึ่ง
“จ้ะ ริวกิเองก็ตื่นมาเตรียมร้านแต่เช้าเลยนะ”
“ฮ่าๆๆ แน่นอนสิครับ ขืนนอนตื่นสายมีหวังพ่อได้ลากลงเตียงแน่” ริวกิว่า เขายังทำหน้าหวาดกลัวประกอบคำพูดได้น่ารักสุดๆเลยล่ะ
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ งั้นเดี๋ยวพี่ไปเตรียมตัวก่อนนะ ขืนช้าเดี๋ยวริวซากิซังจะดุพี่เอา” ฉันล้อท่าหวาดกลัวแบบที่ริวกิทำอย่างขำ ๆ ความจริงริวซากิซัง คุณพ่อของริวกิน่ะไม่ได้ใจร้ายหรอก เขาออกจะใจดี ใจดีมาก ๆ ด้วยค่ะ
“เอ้อ ผมมีเรื่องจะบอกพี่มะลิน่ะครับ วันนี้มีคนมาสมัครงานด้วยนะ ชื่อดี เอ่อ ชื่อดินน่ะครับ”
“เหรอจ้ะ”
ฉันรู้สึกดีไม่น้อยเลยที่ริวกิบอกแบบนี้ นี่ฉันจะมีเพื่อนร่วมงานแล้วเหรอเนี่ย _ “ครับ ตอนนี้ลุงแกน่าจะเตรียมตัวเสร็จแล้ว พี่มะลิไปหลังร้านคงจะเจอลุงแก” ริวกิยิ้มแปลก ๆ จนฉันรู้สึกสะกิดใจ ริวกิวหันไปจัดการหน้าที่ตัวเองต่อเหมือนเป็นการตัดบทไม่ให้ฉันถามอะไรอีก
ฉันคงรู้สึกไปเองนั่นแหละ เอาน่า มีเพื่อนร่วมงานดีจะตายไป ฉันจะได้ไม่เหงา
ฉันเดินเข้าไปหลังร้านซึ่งจะมีล็อกเกอร์เก็บของเล็ก ๆ ของพนักงานร้านทุกคนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อครัว พนักงานเสิร์ฟ หรือแม้แต่เจ้าของร้านเอง
ใครคนหนึ่งซึ่งสวมชุดมาสคอตริลัคคุมะสีน้ำตาลอ่อนปรากฏแก่สายตาเมื่อฉันเดินเข้าไปในห้องเก็บของพนักงาน เมื่อกี้ริวกิบอกว่าเขาคือลุงคนหนึ่งชื่อดินอย่างนั้นใช่มั้ย
“สวัสดีค่ะลุงดิน” ฉันยกมือไหว้บุคคลตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ใจหนึ่งฉันก็แอบสงสารแกเหมือนกันนะที่ต้องมาทำงานอะไรแบบนี้ ร้อนก็ร้อน แกจะทนไหวหรือเปล่านะ
บางทีแกก็คงเดือดร้อนเรื่องเงินเหมือนฉันแหละ อย่างว่า ทุกคนต้องดิ้นรน...
“ไง เอ่อ...แฮ่ม! สวัสดีจ้ะ”ลุงดินกระแอมเสียงดัง เสียงเขาฟังดูทุ้มต่ำแปลกๆ คงเป็นเสียงปกติของเขาแหละ (^^;;)
“หนูชื่อมะลินะคะ ลุงชื่อดินใช่มั้ยคะ เมื่อกี้ริวกิเพิ่งบอกมา ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกันนะคะ”
“ชื่อเพราะจังเลยนะครับ”
“ฮ่าๆๆๆ ขอบคุณค่ะ เพื่อนบางคนคิดว่าชื่อหนูเชย แต่หนูชอบนะ ยายเป็นคนตั้งชื่อให้หนูน่ะค่ะ”
จะพูดว่าเพื่อนก็คงจะไม่เต็มปากเท่าไหร่ เรียกว่าอดีตเพื่อนคงจะเหมาะกว่า ครั้งหนึ่งน้ำใสเคยบอกว่าชื่อฉันน่ะเชย ชื่อเหมือนคนไทยสมัยโบราณน่ะ พูดถึงน้ำใสแล้วฉันก็นึกขึ้นได้ พักนี้น้ำใสมาเรียนบ้าง ไม่มาเรียนบ้าง ฉันคิดว่าเธออาจจะมีปัญหาอะไรแน่ ๆ ยิ่งคุณดีแซมเข้านอกออกในคณะพยาบาลอย่างเปิดเผยแบบนี้ด้วยแล้วมันแปลก ๆ
รู้สึกว่าฉันชักจะพูดไร้สาระเกินไปแล้ว เห็นเพื่อนร่วมงานใหม่เป็นไม่ได้เลยฉัน ผูกมิตรไม่เป็นเวล่ำเวลา
ฉันรีบเก็บของตัวเองเข้าล็อคเกอร์ก่อนจะเอาชุดมาสคอตมาสวม ก่อนที่ฉันจะสวมหัวริลัคคุมะเป็นอย่างสุดท้ายฉันจึงรวบผมเก็บก่อน ในตอนนั้นเองที่ลุงดินช่วยยกหัวริลัคคุมะมาให้ฉันสวม
เขาใจดีจัง...
“ขอบคุณค่ะ ^^”
_______________________________
พักเที่ยง...
“เฮ้ออออออออออ~ ได้พักสักทีนะคะ”ฉันถอนหายใจยาวเพื่อให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่ถอดหัวริลัคคุมะหนักๆออกแล้ว ตอนนี้ฉันพาลุงดินเดินมานั่งตรงน้ำตกหลังร้านเพื่อนั่งทานข้าวกลางวันกัน ฉันถอดแค่หัวมาสคอตออก ขี้เกียจถอดทั้งชุดน่ะ มันค่อนข้างรุ่มร่ามและใส่ยากนิดหน่อย
ลมจากด้านนอกพัดมากระทบใบหน้าฉันที่โชกไปด้วยเหงื่อ ความเย็นมันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายมาก _ รู้สึกดีจัง
ฉันทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ยาวใต้ต้นไม้ใหญ่โดยมีลุงดินนั่งลงข้างๆกัน ระหว่างเรามีข้าวกล่องของฉันวางกั้นกลางไว้อยู่
“ลุงดินไม่ได้เอาข้าวกลางวันมาเหรอคะ O.O?” ฉันถามขึ้นพลางจ้องมาสคอตตัวข้างๆเพราะไม่เห็นเขาถืออะไรมาเลย หัวริลัคคุมะสั่นดุ๊กดิ๊กไปมาเป็นคำตอบฉันว่าเขาไม่ได้เอาข้าวกลางวันมา “งั้นลุงดินทานกับหนูก็ได้ค่ะ หนูเตรียมมาเยอะ ^^”
ลุงดินจ้องหน้าฉันไปพักหนึ่งผ่านหัวมาสคอตก่อนจะตอบ “ขอบคุณครับ”
วันนี้ฉันเตรียมกับข้าวมาค่อนข้างเยอะเลย เมื่อวานฉันหมดพลังงานไปเยอะ วันนี้เลยเอาข้าวกลางวันมาทานเยอะๆหน่อย โชคดีเหมือนกันที่มีลุงดินอยู่ด้วย แบ่งกันกินน่ะอร่อยจะตาย
ว่าแต่...
“ทำไมลุงดินไม่ถอดหัวมาสคอตออกก่อนล่ะคะ มันหนักจะตาย ร้อนด้วยนะคะ”
“คือ...เอ่อ คือมันถอดยากน่ะ”
“หนูช่วยถอดมั้ยคะ ถ้าลุงไม่ถอดลุงดินจะทานข้าวได้ยังไง”ว่าแล้วฉันก็ทำท่าจะลุกไปช่วยคนข้างๆถอดหัวริลัคคุมะออก แต่เขาทำฉันตกใจเมื่อเขาโพล่งขึ้นเสียงดังเลย
“ไม่!”ลุงดินจับหัวชุดมาสคอตไว้แน่นไม่ยอมให้ฉันถอดมันออก พอโดนปฏิเสธแบบนี้ฉันก็ไม่กล้าทำอะไรต่อแล้วกลับมานั่งที่เดิม “เอ่อ คือ...คือลุงไม่ได้ตั้งใจจะเสียงดังกับหนูนะ ลุงแค่ไม่อยากถอดน่ะ มันถอดยากใส่ยาก ขอโทษทีๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ^^;;”
“หนูกินข้าวไปเถอะ ไม่ต้องห่วงลุงหรอก ลุงน่ะแข็งแรงจะตาย”
“แต่ว่า...”ฉันกำลังจะท้วงลุงดินที่เขาไม่ยอมทานข้าว ร้อนๆแบบนี้ขืนไม่ทานข้าวจะมีแรงทำงานเหรอเนี่ย
“ไม่ต้องแต่อะไรหรอก กินไปเถอะ”
ฉันยิ้มให้ลุงดินแค่นั้นแล้วนั่งทานข้าวไปเงียบๆโดยมีสายตาเขามองมาไม่ละสายตา เอ่อ...เขามองแบบนี้ฉันชักจะเกร็งแล้วล่ะสิ
“เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าคะ?”ในที่สุดฉันก็ทนความอึดอัดไม่ได้จึงตัดสินใจถามคนข้างๆไปตามตรงพร้อมกับยิ้มแห้งๆ
“ทำไมเธอ เอ่อ หนูถึงมาทำงานแบบนี้ล่ะ หนูไม่เหนื่อยเหรอ?”
“หนูจำเป็นต้องใช้เงินน่ะค่ะเลยต้องมาหางานทำ อีกอย่างหนูยังต้องหาเงินเรียน ค่าใช้จ่ายจุกจิกในบ้านอีก”ฉันบอกความจริงโดยไม่ปิดบัง ความจนมันไม่ใช่สิ่งที่น่าอายหรอก
ถ้าคิดในแง่ดี คนจนน่ะได้กำไรชีวิตมากกว่าคนมีเงินเยอะเลยนะ เราต้องหาเงินเพื่อเลี้ยงดูตัวเองและคนรอบข้าง ทำให้เรามีสังคม พบเจอสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยเจอ ทำให้เราเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง
“เธอได้ทุนเรียนนี่”
“เมื่อกี้ลุงดินว่าไงนะคะ?”เพราะฉันกำลังจมกับความคิดตัวเองเลยไม่ทันได้ฟังที่ลุงดินพูด
“ลุงถามว่าหนูไม่ได้ทุนเรียนเหรอ?”
“เคยได้ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว” ฉันถอนหายใจยาวเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันต้องเสียเรื่องทุนเรียนไป ฉันก้มหน้าเขี่ยข้าวไปมา ความหิวที่มีเมื่อกี้หายไปแล้วเมื่อปัญหาต่าง ๆ กลับเข้ามาให้ฉันได้คิด
“...”
“เรื่องเรียนไม่ใช่ปัญหาสำหรับหนูหรอกค่ะ พอเรียนจบหนูก็จะมีงานทำ หนูก็สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ตอนนี้เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร ที่ต้องเหนื่อยแบบนั้นมันไม่ได้มาจากใครหรอกค่ะ มันก็มาจากหนูทั้งนั้น”
“...”
“หนูติดหนี้ผู้ชายคนหนึ่ง เงินจำนวนนั้นมันเยอะมากสำหรับหนู หนูอยากหาเงินคืนเขาให้ได้เร็วๆ ฮ่าๆๆ ใครกันที่อยากติดหนี้นานๆใช่มั้ยคะ” ฉันพูดติดตลก แต่ทำไมฉันกลับรู้สึกว่าลุงดินไม่ได้สนุกไปด้วยเลย เขาเงียบมาก
“...”
“หนูก็หวังว่าถ้าหนูคืนเงินให้เขาแล้วเขาจะเลิกวุ่นวายกับหนูสักที”
“ทำไมหนูถึงคิดว่าผู้ชายคนนั้นวุ่นวายกับหนูล่ะ บางทีที่เขาทำแบบนี้เพราะเขาอยากดูแลหนูก็ได้ ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่ไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ คนที่ตัวเองรู้สึกดีด้วย”
“...” คราวนี้กลับเป็นฉันที่เป็นฝ่ายเงียบ ความแปลกใจเริ่มเข้ามาแทนที่
เสียงของลุงดินเปลี่ยนไป...ทำไมฟังคล้ายๆกับ...
“เขาไม่ได้ต้องการเงินคืนหรอกมะลิ เรื่องเงินมันเป็นเหตุผลที่เขาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับหนูนะ”
“ลุงดินพูดเหมือนรู้จักเขาเลยนะคะ” ฉันพูดอย่างแปลกใจ
“เอ่อ ลุงแค่พูดตามความรู้สึกน่ะ”
“หนูว่าลุงคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ เรารีบกลับไปทำงานกันดีกว่า ตอนนี้ลูกค้าเริ่มทยอยกันเข้าร้านเยอะแล้ว”
ฉันตัดบทแล้วรีบเก็บของ ฉันไม่อยากฟังไม่อยากพูดอะไรถึงคุณดีแซมอีกแล้ว เขาไม่เคยเข้าใจอะไรในตัวฉันหรอก ขนาดฉันขออิสรภาพของฉันคืนเขายังให้ฉันไม่ได้เลย มันไม่ยุติธรรม ฉันคืนเขาไปแล้วหมดทุกอย่าง เหลือสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะคืนให้เขาเร็วๆนี้ก็คือเงินก้อนนี้
ฉันก็ได้แต่หวังว่าเขาคงจะมีความเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะปล่อยฉันกลับไปอยู่ในโลกของฉันเองนะ...
ในตอนที่ฉันกำลังจะไปหยิบหัวริลัคคุมะที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆมาสวมเพื่อจะได้กลับไปทำงานสักที ลุงดินก็เดินมาหวังจะเข้ามาช่วย เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเขาดันไปสะดุดขาตัวเองเข้าจนร่างทั้งร่างล้มหน้าคะมำไปกับพื้น ยังผลให้หัวริลัคคุมะหลุดแล้วกลิ้งไปไกล
“ลุง...!!” ฉันตกใจจะเข้าไปช่วยดูลุงดินว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่าแต่ฉันชะงักไปทันทีเมื่อผมของลุงดินที่น่าจะเป็นสีดำกลับเป็นผมสีบลอนด์ทองคุ้นตา และทุกอย่างยิ่งชัดกับตาว่าเหตุผลที่ลุงดินถึงไม่ยอมถอดหัวริลัคคุมะออกเป็นเพราะอะไรในตอนที่ฉันพลิกร่างสูงให้นอนหงาย “คุณดีแซม!!!”
“มะลิ...” คนที่นอนอยู่บนพื้นเรียกชื่อฉันเสียงเบา เขาคงคาดไม่ถึงว่าฉันจะรู้ความจริงเร็วขนาดนี้
นี่น่ะเหรอลุงดิน เหอะ! ไม่อยากจะเชื่อว่าริวกิจะรวมหัวกับคุณดีแซมหลอกฉันแบบนี้
ทำไมคุณดีแซมถึงทำแบบนี้อยู่อีก
“คุณอีกแล้วนะคะ” ฉันพูดเสียงแข็ง บอกเลยว่าตอนนี้ฉันไม่พอใจมาก แล้วเขาไปรู้มาจากไหนว่าฉันทำงานอยู่ที่นี่ ให้ตายสิ! เมื่อไหร่เขาจะเลิกทำตัวแบบนี้สักที
ฉันลุกพรวดเดินหนีไปจากตรงนั้นทันทีโดยไม่คิดจะช่วยคุณดีแซมให้ลุกขึ้นแม้แต่น้อย บอกไว้เลยว่าวันนี้คือความอดทนครั้งสุดท้ายของฉันที่มีต่อผู้ชายคนนี้
“เดี๋ยวสิ มะลิ!”
__________________________
[::D-Sam’s Part::]
ยิ่งผมพยายามทำอะไรทำไมผลที่ได้กลับยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ...
วันนี้ผมไม่น่าซุ่มซ่ามสะดุดขาตัวเองเลยจริง ๆ มะลิเลยรู้ความจริงเลยว่าตัวตนของลุงดินคือใคร
หลายวันมานี้มะลิหลบหน้าผม ผมไม่เจอเธอเลย ผมบุกไปหาเธอที่ตึกคณะมะลิก็หนี ทั้ง ๆ ที่ไปรอหน้าห้องเรียนแล้วยัยมะลิตัวดีก็อาศัยช่วงชุนละมุนตอนเลิกเรียนหนีผมไปได้ทุกที ผมมารอเธอที่บ้านก็ไม่เจอ เหมือนมะลิจงใจไม่อยากเจอผม เพราะรู้ว่ามะลิจะรอผมกลับไปก่อนเธอถึงจะปรากฏตัว ผมจำเป็นต้องจำใจกลับบ้านทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามะลิซ่อนตัวอยู่บ้านใกล้ ๆ...ผมอยากให้เธอได้พักผ่อน
รู้มั้ยว่ายัยมะลิโกรธทำให้คนอื่นเป็นเดือดเป็นร้อนกันไปหมด เพื่อนทุกคนพยายามช่วยผมหาทางง้อมะลิเต็มที่ เหมือนมันจะเป็นไปได้ยากมากเพราะยัยมะลิใจแข็งเหลือเกิน แต่เหมือนโชคเข้าข้างผม...
เมลล์มาบอกผมว่ารุ่นน้องที่สนิทกับเธอเธอที่คณะบอกเธอว่ามะลิไปสมัครเป็นพนักงานต้อนรับที่ร้าน ผมรู้อย่างนี้ก็รีบไปที่ร้านนั้นทันที ผมขอความร่วมมือกับริวกิให้ช่วยเรื่องมะลิโดยบอกไปว่าผมคือลุงแก่ ๆ คนหนึ่งชื่อดิน ที่ผมทำแบบนี้ผมไม่ได้จะไปก่อกวนมะลิเลยนะ ผมแค่อยากไปดูแลยัยนั่นก็แค่นั้นเอง
ครั้งแรกที่มะลิเจอกับลุงดินเธอส่งยิ้มมาให้ มันเป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นแล้วยังรู้สึกน้อยใจ ถ้าเธอรู้ว่าเบื้องหลังไอ้ตุ๊กตายักษ์สีน้ำตาลนั่นคือผมล่ะก็ ไม่มีวันที่ผมจะได้เห็นรอยยิ้มสดใสของมะลิแบบนี้แน่นอน
มะลิคือผู้หญิงใจดี เธอมีน้ำใจกับลุงดินทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเลยสักวินาทีเดียว วินาทีที่ผมเห็นใบหน้าเปื้อนเหงื่อนั้นผมรู้สึกแย่มาก ผู้หญิงตัวนิดเดียวแต่เธอสามารถทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อหาเงินมาคืนผม งานที่ทำอยู่ไม่ได้สบายอะไรเลย ร้อนก็ร้อน หนักก็หนัก แต่ผมไม่ได้ยินมะลิบ่นสักคำ
สีหน้ามะลิแสดงความโกรธออกมาชัดเจนทันทีที่เราสบตากัน รู้มั้ยว่ามะลิลาออกจากงานทันที พอผมตะเกียกตะกายลุกขึ้นได้ก็วิ่งเข้าไปในร้าน ผมรู้จากปากริวกิว่ามะลิลาออกจากงานแล้วและก็กลับไปแล้วด้วย
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
ติ๊ดๆๆๆ~ ติ๊ดๆๆๆ~
เสียงมือถือที่วางอยู่โต๊ะหัวเตียงดังขึ้นเรียกสติผมให้กลับมายังปัจจุบัน ผมเอื้อมมือไปหยิบมือถือมาดูว่าใครโทรมาได้จังหวะผมกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ แต่พอเห็นชื่อคนโทรเข้าเท่านั้นแหละ หัวใจผมกลับเต้นรัวยิ่งกว่ารัวปืนซะอีก
“ว่าไงมะลิ” ผมทักทายปลายสายเสียงสั่น เก็บความตื่นเต้นไว้ไม่มิด บอกเลยว่ามะลิทำให้ผมยิ้มแก้มแทบฉีก ไม่นึกไม่ฝันว่าคนที่ผมเฝ้าโทรหา เฝ้าส่งข้อความแต่ไม่เคยรับสายเลยกลับเป็นฝ่ายโทรหาผมแทน
[คุณดีแซมคะ ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณ พรุ่งนี้รบกวนคุณออกมาเจอฉันที่...]
มะลิบอกสถานที่นัดหมายและเวลาของเรา น้ำเสียงเธอเป็นปกติมากราวกับว่าเธอลืมเรื่องที่โกรธผมไปแล้ว
“ได้สิ พรุ่งนี้ฉันจะไปรับเธอที่บ้านนะ”
[ไม่ต้องหรอกค่ะ เราไปเจอกันที่นั่นเลยก็แล้วกัน งั้นแค่นี้นะคะ ฉันจะนอนแล้ว]
“เดี๋ยว!”ผมรีบบอกปลายสายเพราะกลัวว่ามะลิจะวางสายไปซะก่อน นาน ๆ ได้คุยกันดี ๆ อย่างนี้ ผมก็อยากจะคุยนาน ๆ นี่นา T^Tแต่นี่ก็ดึกแล้ว มะลิบอกว่าจะนอนแล้ว
[คะ?]
“ฝันดีนะครับ”ในที่สุดผมก็พูดสิ่งที่อยากบอกออกไป ไม่แน่ว่าคืนนี้คนที่ฝันดีอาจจะเป็นผมแทนก็ได้
มะลิเงียบไปพักใหญ่ เธอทำรอยยิ้มผมค่อยๆจางหาย จนในที่สุด...มะลิก็ทำให้ผมกลับมายิ้มอีกครั้ง
[เช่นกันค่ะ]
ผมรอจนมะลิตัดสายไปเองแล้วรีบโยนมือถือลงเตียงก่อนจะตรงปรี่มาเปิดดูเสื้อผ้าทั้งสี่ตู้ของตัวเอง ผมไม่เคยตื่นเต้นจนต้องมาเลือกชุดใส่แบบนี้เลยตั้งแต่เกิดมา พรุ่งนี้ผมจะแต่งตัวให้เท่ห์ระเบิดให้มะลิอึ้งไปเลย ไม่สนแล้วว่าเรื่องที่เราจะคุยกับคืออะไร ผมเองก็มีเรื่องมากมายจะคุยกับมะลิด้วยเหมือนกัน
ที่สำคัญพรุ่งนี้...ผมตั้งใจจะบอกความรู้สึกตัวเองกับมะลิ เธอจะได้รู้ว่าที่สิ่งที่ผมทำไปทั้งหมดนั่นเป็นเพราะอะไร
[::End : D-Sam’s Part::]
Hello!! My Cinderella นางซินหน้าใสขอเขย่าหัวใจคุณชายเพลย์บอย