Hello!! My Cinderella นางซินหน้าใสขอเขย่าหัวใจคุณชายเพลย์บอย

Chapter 69 : คาใจ

[::D-Sam’s Part::]

หลายวันต่อมา...

ในที่สุดยัยตัวดีของผมก็ยอมเข้ารักษาโรคชอคโกแลตซีสต์แล้วครับ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้แม่ผมล่ะ ถ้าไม่ได้แม่ผมขู่แกมบังคับก็หมดสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนใจมะลิได้แบบนี้

มะลินอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลได้หลายวันแล้ว เพื่อนผม เมลล์ น้ำว้า และเพื่อนของเธอบางคนต่างก็ไปเยี่ยมมะลิไม่ขาด ทุกคนต่างก็ไปป่วนที่รักผมไม่ได้ให้เหงาหรอกครับ ผมเองก็ไปนอนเฝ้าแฟนทุกคืนเหมือนกัน

ตอนนี้ผมมีธุระที่ต้องกลับมาจัดการที่บ้านนิดหน่อย ข่าวดีสุด ๆ คือเย็นนี้มะลิจะกลับมานอนที่บ้าน ผมต้องมาจัดห้องนอนต้อนรับว่าที่ภรรยาคนสวยของผมกลับบ้านซะหน่อย อ้อ ลืมบอกไป ระหว่างที่มะลิรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลผมก็พากะทิมาอยู่บ้านนี้แล้ว แม่ผมที่ว่ากลัวหมานักหนาตอนนี้กลายเป็นพี่เลี้ยงไอ้ตัวเล็กไปแล้ว

แม่ผมไม่ได้เกลียดหมาหรอกนะครับ ท่านรู้ว่ามะลิเก็บกะทิมาเลี้ยงจากข้างถนน แต่ท่านกลับไม่นึกรังเกียจ รู้มั้ยว่าแม่ผมอยู่บ้านก็นั่งถักเสื้อให้เจ้ากะทิด้วยล่ะ ไอ้ตัวเล็กเลี้ยงง่ายนะ กินเก่งจนตอนนี้แทบจะกลายร่างเป็นตือป๊วยก่ายอยู่แล้ว ไม่ดื้อด้วย แม่ผมเลยชอบยังไงล่ะ

อย่างที่รู้ว่าแม่ผมอยากอุ้มหลานขนาดไหน เมื่อก่อนน่ะผมหัวดื้อจริง ไม่ยอมคบใคร รักสนุกไปวันๆ แต่ทุกวันนี้น่ะ ในหัวผมกลับมีแต่เรื่องอนาคต...เรื่องครอบครัว เรื่องเจ้าตัวเล็ก ทุกวันนี้แม่ผมก็ทำอย่างกับกะทิเป็นหลานตัวน้อย ๆ ไปแล้วล่ะ เห็นบอกว่าซ้อมเลี้ยงหลาน =__=;;

เรื่องเรียนมะลิมีกระต่ายคอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดผมจึงหมดห่วงไป ส่วนเรื่องทุนเรียนของมะลิที่โดนทางมหาวิทยาลัยตัดไปเพราะเธอไม่ส่งเล่มสรุปกิจกรรมแม่ผมจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว แม่จะเป็นคนจัดการเรื่องทุนเรียนของมะลิเองทุกอย่างนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มะลิยังไม่รู้เรื่องนี้ ถือซะว่าเป็นของขวัญต้อนรับกลับบ้านวันนี้ก็แล้วกันนะ ^_^

มันคงเป็นเรื่องดี ๆ ที่สุดในรอบหลายเดือนมานี้ล่ะมั้ง ผมดีใจมากๆที่แม่กับมะลิเข้ากันได้ดี และดูเหมือนว่า...ผมจะกลายเป็นคนนอกทันทีที่สองคนนี้อยู่ด้วยกัน T^T บางทีผมก็คิดนะว่า นี่ผมหรือมะลิกันแน่ที่เป็นลูกคนหญิงหมื่นกะรัต แต่ก็ดีนะครับ ^[ ]^ ผมเลยหมดปัญหาเรื่องลูกสะใภ้กับแม่สามีไป

อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะบอกมะลิ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก ขออุบไว้ก่อนแล้วกันนะฮะ (^_^)

ผมเดินเข้ามาในบ้าน เงียบอย่างนี้สงสัยทุกคนต้องยุ่งอยู่ชั้นบนแน่เลย...

คิดได้อย่างนั้นผมก็ตรงดิ่งขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านทันที เมื่อวานผมบอกป้าพินให้เปลี่ยนผ้าม่านห้องผมจากสีน้ำตาลเป็นสีครีมอ่อน ผ้าปูที่นอนจากสีน้ำเงินเข้มผมอยากเปลี่ยนเป็นสีขาวสะอาด พวกเฟอร์นิเจอร์สีฉูดฉาดทั้งหลายแหล่ผมก็อยากจะเปลี่ยนด้วย ผมว่ามะลิคงไม่ชอบเท่าไหร่ สีโทนอ่อนดูอบอุ่นเหมาะกับมะลิดี ผมว่าเธอน่าจะชอบมากกว่า

เสียงพูดคุยของแม่บ้านทุกคนดังมาจากห้องนอนห้องหนึ่ง...แต่ทำไมไม่ใช่ห้องผมล่ะ

ผมเดินไปยังห้องต้นเสียง ห้องนี้เป็นห้องรับห้องแขกใหญ่ของบ้าน อยู่ติดกับห้องแม่แต่ห่างจากห้องผม

“นี่อะไรกันครับ O.O?”ผมถามทันทีที่เข้าไปในห้องนอนห้องนั้นก็เห็นว่าพวกแม่บ้านกำลังจัดห้องกันใหญ่

“พวกเรากำลังเตรียมห้องให้คุณมะลิอยู่ค่ะ ^_^” ป้าพินตอบ

“แต่ผมบอกให้...”

“แกคงไม่คิดว่าฉันจะโยนเนื้อเข้าปากเสือหรอกนะดีแซม”

คุณหญิงเดินเข้ามาในห้องโดยมีกะทิที่ใส่เสื้อไหมพรหมสีชมพูฝีมือท่านเองอยู่ในอ้อมแขน ดวงหน้าสวยคมเหลือบมองแขวะผมนิด ๆ

“อะไรเล่าคุณหญิง -O- ผมไม่ได้คิดแต่เรื่องอย่างนั้นสักหน่อย อีกหน่อยแต่งงานไปผมกับมะลิก็ได้นอนห้องเดียวกันอยู่ดี”

“แต่ตอนนี้ยัง นี่แกคิดว่าที่ฉันให้มะลิมาอยู่ที่นี่เพราะอยากให้อยู่กับแกอย่างนั้นเหรอ” คุณหญิงแหวใหญ่เลยอ่ะ

“ก็...เปล่า”

แม่ก็...รู้ทันอีกแล้ว (_ _;;)

“ถึงแม้ว่าแกบอกว่าจะแต่งงานกับมะลิ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ที่พวกแกแต่งงานกันแล้ว เพราะฉะนั้นรอให้แต่งงานกันก่อนแล้วฉันจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ เข้าใจตรงกันนะ”

“โธ่ คุณหญิง...”

“ถ้าแกไม่ยอมแกก็ออกไปอยู่คอนโดฯ เลย” คุณหญิงเล่นท่าไม้ตายแบบนี้ผมจะเถียงได้ยังไงเล่า ไม่พูดเปล่ายังสะบัดหน้าเดินหนีผมลงไปข้างล่างอีกแน่ะ

“ผมเป็นลูกคุณหญิงนะ” ผมแย้ง จะน้อยใจแม่ดีมั้ยเนี่ย โห ผมเห็นอนาคตตัวเองเลยว่าจะเป็นยังไง T___T

“เรื่องของแก”

“แม่!!!”

คุณหญิงไม่สนใจลูกตัวเองสักนิด ท่านยังคงเดินไปยังห้องนั่งเล่นที่ชอบไปนั่งอ่านหนังสือ ผมเดินตามไปเงียบๆเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่สามารถเปลี่ยนใจคุณหญิงแม่ได้

แม่ปล่อยกะทิให้เป็นอิสระ ผมเดินไปทิ้งตัวลงโซฟายาวข้าง ๆ แม่ก่อนจะทิ้งตัวลงหนุนตักคุณหญิงโดยไม่ให้ท่านตั้งตัว ทำจริง ๆ ผมก็เขินนะ คือมันไม่ได้ทำอะไรอย่างนี้นานแล้ว /// “อะไรของแก” คุณหญิงจ้องหน้าผมอย่างแปลกใจ

“ทำไมคุณหญิงต้องมองผมอย่างกับผมโดนผีเข้างั้นล่ะ”

“ก็ร้อยวันพันปีแกไม่เคยทำอย่างนี้ ถ้าจะมาอ้อนให้ฉันเปลี่ยนใจให้มะลิไปนอนกับแกบอกเลยว่าไม่ได้ผล”

“โธ่แม่ นี่แม่เห็นผมเป็นคนยังไง T^T” ผมพูดงอน ๆ “มะลิบอกผมเสมอว่าถ้ารักใครก็ให้บอกก่อนที่จะไม่มีโอกาสทำเหมือนเธอ”

“...”

“จริง ๆ ผมก็เขินนะ แต่มันก็จริงอย่างมะลิว่า”

“...” แม่เงียบ เอาแต่จ้องหน้าผมแบบนั้น ไม่นาน มือนุ่นๆแสนอบอุ่นของแม่ก็เอื้อมมาลูบผมผมไปมาเหมือนที่ท่านชอบทำเวลาผมมานอนหนุนตักตอนเด็ก ๆ

“เมื่อก่อนผมอาจจะเคยเกเร ไม่เชื่อฟังแม่ แต่ผมก็รักคุณหญิงนะ”

“...”

“ผมไม่เคยคิดถึงอนาคตตัวเอง มองความสนุกเป็นเรื่องหลักในชีวิต จนผมได้มาเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป มะลิทำให้ผมคิดถึงเรื่องอนาคต เรื่องครอบครัว เรื่องลูก และเรื่องหน้าที่ต่าง ๆ อีกมากมายที่ผมจะต้องสานต่อตระกูลเรา”

“ไม่น่าเชื่อว่าแกจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ดีแซม ฉันนับถือมะลิจริง ๆ”

“ผมบอกแม่แล้วว่าแม่จะต้องรักมะลิเหมือนที่ผมรัก” ผมยักคิ้วข้างเดียวกวน ๆ ส่งให้แม่ “ผมขอบคุณคุณหญิงมากนะครับที่ให้ความเมตตากับมะลิ ช่วยเหลือมะลิ เธอเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารแต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ”

แม่ผมไม่พูดอะไรได้แต่นั่งเงียบ...ไม่นานเท่าก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นที่ผมไม่ได้เห็นมานาน เราไม่พูดอะไรกันต่อ เพียงแค่นี้เราก็สามารถสื่อถึงความรู้สึกที่ให้กันได้แล้ว

“อ้อ ลืมบอกแกไปเลย ยัยเดซี่จะกลับไทยแล้วนะ เห็นบอกว่าอยากเห็นพี่สะใภ้”

“จริง?!!!” ผมโพล่งขึ้นอย่างตกใจปนดีใจ

นี่ผมไม่ได้เจอน้องสาวมากี่ปีแล้วนะ กลับมาคราวนี้คงจะโตเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัวแล้วมั้ง มันก็จริงที่สมัยนี้เทคโนโลยีมันกว้างไกล อยู่คนละซีกโลกก็เหมือนห่างกันแค่เอื้อม ก็ช่วงหลัง ๆ มานี้ผมกับน้องต่างก็ยุ่งเลยไม่ได้วิดีโอคอลกันเหมือนก่อน ๆ พวกผมอยู่คนละที่ก็จริงแต่ความสัมพันธ์เราไม่ได้ห่างเหินอะไรเลย แถมสนิทกันสุด ๆ

เรื่องผมกับมะลิน่ะแม่ผมโทรไปบอกญาติที่อยู่อเมริกาหมดแล้ว คือจะเรียกว่าเห่อว่าที่ลูกสะใภ้ก็คงจะจริง เพราะอย่างนี้มั้งยัยเดซี่เลยอยากกลับบ้านมาเจอหน้าว่าที่พี่สะใภ้ ผู้หญิงที่สามารถจับผมได้อยู่หมัด!

“อือ เห็นบอกว่าจะมาแต่ไม่ได้บอกว่าวันไหน คงกะจะเซอร์ไพรส์ล่ะมั้ง”

“ยัยน้องแสบเอ๊ย ฮ่าๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะของผมมันเป็นเสียงหัวเราะที่ออกมาจากใจลึกๆจริงๆ ต่อไปนี้ชีวิตของผมจะมีแต่ความสุข...ผมเชื่ออย่างนั้น...

[::End : D-Sam’s Part::]

___________________________

ข่าวเรื่องที่ฉันย้ายเข้าไปอยู่บ้านคุณดีแซมกลายเป็นหัวข้อเม้าท์กระจายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ว่าฉันจะเดินไปไหนใครๆต่างก็มองมาทางฉันแล้วกระซิบกระซาบ นี่ก็หลายวันแล้วข่าวยังไม่ซาเลย

ฉันค่อนข้างที่จะหนักใจเหมือนกันกับเรื่องนี้ แต่ถ้าฉันเลือกจะแคร์คำพูดพวกเขาทั้งชีวิตนี้ก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ ฉันเลือกที่จะเมินคำนินทาเหล่านั้นไม่ว่าจะพูดถึงฉันดีหรือไม่ดียังไง เพราะถึงยังไงก็มีแค่คนใกล้ตัวฉันเท่านั้นที่รู้ความจริงว่าฉันย้ายเข้าไปอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเกลลิสันเพื่อไปดูแลคุณหญิงหมื่นกะรัต

การเป็นแฟนคนดังของมหาวิทยาลัยมันก็มีข้อดีและข้อเสีย น้ำว้ากับเมลล์มักจะคอยให้กำลังใจและแนะนำการใช้ชีวิตให้ฉันเสมอเพราะพวกเธอเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน จากที่ฉันเป็นคนอยู่ในที่มืดมาโดยตลอดแล้วอยู่ๆก็กลายมาเป็นคนอยู่ในที่แจ้งทำให้ฉันต้องปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่หลายๆอย่าง

คุณดีแซมจ้างคนไปดูแลบ้านสวนรวมถึงสวนดอกมะลิให้เหมือนเดิม และเขายังทำหน้าที่รับส่งฉันมาเรียนทุกวัน (. .) คุณดีแซมตัวติดฉันมาก ๆ เลยล่ะค่ะ เวลาอยู่บ้านเขามักจะย่องเข้าห้องฉันเงียบๆ เพราะถ้าคุณหญิงรู้เขาตายค่ะ แน่นอนว่าฉันเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณหญิง คุณหญิงบิดหูเขาไปหลายทีเหมือนกัน ผลเป็นยังไงเหรอคะ เขาก็งอนฉันไปตามระเบียบ แต่งอนฉันไม่ถึงชั่วโมงหรอกค่ะ เขาก็กลับมาแทะเล็กแทะน้อยฉันเหมือนเดินจนฉันขี้เกียจบ่น

ชีวิตฉันเรียกว่ากำลังไปได้สวยเลยก็ว่าได้ค่ะ ถึงแม้คุณดีแซมจะชอบแกล้งฉันแต่เขาก็เป็นคนทำให้ฉันมีเสียงหัวเราะ คุณหญิงหมื่นกะรัตดูแลฉันไม่ต่างจากลูกสาวอีกคนและฉันก็ดูแลท่านเหมือนแม่ตัวเอง คนใกล้ตัวฉันต่างก็มีความสุข เพื่อนๆที่เมินฉันตอนแรกก็ไม่ได้อะไรกับฉันแล้ว ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง...

นี่ก็ผ่านมาสามอาทิตย์แล้วตั้งแต่เกิดเรื่องที่คอนโดคุณแซนแทนวันนั้น...น้ำใสไม่มาเรียนเลย

ระหว่างที่ฉันนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันน้ำใสก็ไม่มาเรียน กระต่ายบอกว่าน้ำใสหายไปเลย ฉันก็พอจะได้ยินข่าวจากเพื่อนๆเหมือนกันว่าน้ำใสลาออกแล้ว

มีอะไรเกิดขึ้นกับน้ำใสหรือเปล่านะ...

ฉันไม่ได้เป็นห่วงน้ำใสหรืออะไรทำนองนั้นหรอก ฉันไม่ใช่นางเอกขนาดที่น้ำใสคิดร้ายกับฉันขนาดนั้นแล้วฉันจะไม่โกรธ ในฐานะคนที่เคยมีความทรงจำดีๆต่อกัน เคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันฉันก็อดอยากรู้ไม่ได้

ไม่รู้สิ...ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้

“มะลิ!”

อยู่ๆใครคนหนึ่งก็เดินมาเขย่าแขนฉันจนฉันตกใจ พอหันไปดูก็พบว่าเป็นกระต่ายนั่นเอง

“อ้าว กระต่าย มีอะไรเหรอ?”

“เธอคิดอะไรอยู่น่ะ วันนี้เธอดูเหม่อๆ ใจลอยๆนะ มีอะไรหรือเปล่า?”กระต่ายถามอย่างเป็นห่วง

“อ้อ เปล่าหรอกจ้ะ ^^;”

“เหรอ งั้นกลับกันเถอะ เพื่อนๆออกห้องกันหมดแล้ว”

ฉันมองไปรอบห้องก็เจอแต่ความว่างเปล่า นี่ฉันใจลอยจนไม่สังเกตเลยเหรอว่าอาจารย์สอนเสร็จแล้ว เพื่อนร่วมห้องก็ทยอยออกห้องจนหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“เอ่อ กระต่ายกลับก่อนเลยก็ได้จ้ะ ฉันว่าจะเข้าไปหาอาจารย์สักพักน่ะ”ฉันพูดกับกระต่ายที่ยืนรอฉันเก็บของ

“เอางั้นเหรอ งั้นฉันกลับก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะมะลิ ^_^”

เราลากันเสร็จกระต่ายก็เดินออกจากห้องไป ฉันรีบเก็บของใส่กระเป๋า แล้วรีบหอบหนังสือตรงดิ่งไปยังห้องทำงานอาจารย์ที่ปรึกษานิสิตพยาบาลปีสามทันที

ก๊อกๆๆ ~

ฉันเคาะประตูห้องเพื่อขออนุญาตขออาจารย์ ไม่รู้ว่าอาจารย์จะอยู่ในห้องหรือเปล่านะ

“เข้ามาได้ค่ะ ห้องไม่ได้ล็อค”

“ขออนุญาตนะคะอาจารย์”ฉันเปิดประตูขออนุญาตอาจารย์อีกครั้ง

“อ้าว ว่าไงมะลิฉัตร เข้ามาก่อนสิจ๊ะ”อาจารย์กัญญารัตน์บอกด้วยรอยยิ้ม อาจารย์ท่านนี้คืออาจารย์ที่ปรึกษาของนิสิตพยายบาลปีสามทุกคน แกเป็นอาจารย์สาวจบใหม่ เป็นคนสวยและใจดีมากอีกด้วย วิชาของอาจารย์คนนี้แหละที่ฉันถูกน้ำใสขโมยรายงานไปเผาทิ้ง “นั่งก่อนสิจ๊ะ”

“ขอบคุณค่ะ”ฉันนั่งตรงเก้าอี้ตรงข้ามกับอาจารย์

อาจารย์กำลังตรวจงานอยู่เลย นี่ฉันมากวนหรือเปล่านะ

“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะมะลิ สีหน้าเธอเหมือนคนกำลังไม่สบายใจ”อาจารย์กัญญารัตน์ละมือจากงานตรงหน้าและให้ความสนใจฉันเต็มที่

“คือหนูมีเรื่องจะถามอาจารย์น่ะค่ะ เรื่องน้ำใส”

ฉันเข้าเรื่องทันที เรื่องที่ฉันมาหาอาจารย์คือเรื่องที่กวนฉันใจฉันมากที่สุดในตอนนี้ ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้น้ำใสเป็นยังไง แล้วเรื่องที่เธอลาออกนั่นจริงหรือเปล่า

“อ๋อ เธอลาป่วยนานเลยนี่นา นี่ยังไม่รู้ใช่มั้ยว่าเพื่อนเธอลาออกไปแล้ว”

“จริงเหรอคะ?”ได้ฟังอย่างนี้ก็ทำให้ฉันตกใจไม่น้อยเหมือนกัน

“จ้ะ อาทิตย์ที่แล้วแม่น้ำใสเป็นคนมาลากับอาจารย์ เห็นบอกว่าน้ำใสมีปัญหาสุขภาพไม่สามารถมาเรียนได้แล้ว”

“ปัญหาสุขภาพงั้นเหรอคะ”

มาถึงประโยคนี้ฉันถึงกับอึ้ง ในหัวจินตนาการไปต่างๆนาๆว่าน้ำใสทำร้ายตัวเองหรือเปล่า ฉันว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับน้ำใสแน่ๆ

“ใช่จ้ะ อาจารย์พยายามถามคุณแม่น้ำใสแล้ว แต่ท่านไม่ยอมบอกแล้วรีบออกไปเลย อาจารย์ตามไปบ้านน้ำใสก็ไม่มีคนอยู่”

“งั้นหนูขอที่อยู่น้ำใสหน่อยได้มั้ยคะอาจารย์”

________________________

เพื่อคลายความสงสัยให้ตัวเองฉันเลยตั้งใจจะไปบ้านน้ำใสเพื่อให้เห็นกับตา...

ถึงขั้นแม่น้ำใสมาลาออกให้ลูกสาวขนาดนี้ฉันว่าต้องเกิดเรื่องกับน้ำใสแน่ๆ ทำไมฉันถึงรู้สึกแย่แบบนี้นะ ใจคอไม่ดียังไงไม่รู้

“ทำไมลงมาช้าจังวันนี้”คุณดีแซมที่นั่งพิงกระโปรงรถรอเอ่ยถามขึ้นเมื่อฉันเดินมาหาเขา วันนี้เขาแต่งตัวดูดีมากๆ ใส่แว่นตากันแดดสีชาแล้วดูเท่ห์ระเบิดเลย จะว่าไปเขาก็ดูดีทุกวันอยู่แล้ว คุณดีแซมแต่งตัวเก่งจะตาย

อย่างที่รู้กันว่าคุณดีแซมจะคอยรับส่งฉันเรียนทุกวัน เขาจึงรู้เวลาเรียนฉันทุกวันรวมถึงเวลาขึ้นวอร์ดฉันด้วย

“พอดีฉันไปหาอาจารย์มาน่ะค่ะ ขอโทษนะคะที่ให้รอนาน”

“ไม่เป็นไร ว่าแต่เธอมีเรื่องอะไรหรือเปล่า หน้าตาดีเครียดๆ”คุณดีแซมจ้องหน้าฉันนิ่ง นี่ความรู้สึกฉันมันแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ

“เรื่องน้ำใสน่ะค่ะ ดีแซมรู้มั้ยว่าแม่น้ำใสมาลาออกให้น้ำใสแล้วนะ ฉันว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่เลยค่ะ”ฉันบอกอย่างไม่สบายใจ

“จริงเหรอ?”คุณดีแซมถามเสียงเบา เขาก็คงจะรู้สึกเหมือนฉัน

“ค่ะ ฉันเพิ่งไปขอที่อยู่บ้านน้ำใสจากอาจารย์มาค่ะ ฉันว่าจะไปดูที่บ้านน้ำใสให้แน่ใจว่าไม่ได้เกิดเรื่องอะไรไม่ดี”

“นี่เธอเป็นห่วงน้ำใสเหรอ ยัยนั่นทำไม่ดีกับเธอไว้ตั้งเยอะ...”

“เปล่าค่ะ”ฉันขัดคำคุณดีแซมไว้แค่นั้น ฉันกะไว้แล้วว่าเขาต้องไม่เห็นด้วยกับฉันเรื่องนี้ “ฉันมีลางสังหรณ์ไม่ดีว่าต้องเกิดอะไรกับน้ำใส ฉันแค่อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าน้ำใสปลอดภัยดี”

“แล้วเธอจะเข้าไปเจอยัยนั่นที่บ้านหรือไง”คุณดีแซมถามเสียงขุ่น ความคิดเห็นไม่ตรงกันทำให้เขาเริ่มเคืองฉันแล้ว

“ฉันไม่ได้บอกว่าจะเข้าไปหาน้ำใสสักหน่อยนี่คะ ฉันแค่อยากจะไปดูเฉยๆ”

“แต่...”

“นะคะดีแซม”

คุณดีแซมเงียบไปสักพัก เขากำลังคิดหนัก สุดท้าย...เขาก็ตามใจฉันเหมือนทุกที

“ไปแป๊บเดียวนะ ฉันไม่อยากยุ่งหรือสุงสิงกับยัยนั่นอีกแล้ว”

“ขอบคุณนะคะ”


Hello!! My Cinderella นางซินหน้าใสขอเขย่าหัวใจคุณชายเพลย์บอย
คุณสามารถใช้ปุ่มลูกศรซ้าย/ขวาเพื่อถอยหลัง/ไปข้างหน้า
ประเมิน: 10.0/10 จาก 27 โพล
loading...