ชีวิตจักรพรรดิของข้า

บทที่ 24 ซื้อใจ

บทที่ 24 ซื้อใจ

“ฝ่าทาบทำได้แล้ว”มู่ฉุนเฟิงเยินยอไม่หยุด ถึงแม้ความสามารถของฝ่าทาบจะยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ แต่การรวบรวมหลังลมปราณของฝ่าทาบในนั้นช้ากว่าเขาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว และสถานการณ์แบบนี้ เขาก็สมควรที่จะเชิดชูและเยินยอฝ่าทาบแบบนี้

ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นเพียงคำเยินยอ แต่เย่เทียนก็รู้สึกพึงพอใจ ขณะนี้เขามีความกระตือรือร้นต่อการฝึกเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ติดว่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าภายในใจยังมีอะไรติดค้างอยู่ เขาก็ยังอยากจะอยู่ในหอหนังสือเพื่อฝึกต่อไป

ส่วนพวกที่หายตัวไปนั้น องครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกแบบพิเศษได้กลับมายังเมืองแห่งนี้แล้ว และรวมตัวกันอยู่สักแห่งในเมือง เพื่อรอฟังพระราชโองการ แน่นอนว่าเย่เทียนอยากจะไปดูให้เห็นกับตา และแน่นอนว่าจุดประสงที่จะไปอีกอย่างค์ก็เพื่อจะซื้อใจทหารยามเหล่านั้น

ฝ่าทาบแอบออกไปนอกพระราชวังแบบลับๆ มู่ฉุนเฟิงไม่รู้สึกเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังรู้สึกซาบซึ้งอีกด้วย เขารู้ตัวเองเป็นอย่างดีว่า ตอนนี้เขามีความรู้สึกแบบนี้ และ เขาอยากจะแสดงให้ฝ่าทาบเห็น ว่าเขาเป็นผู้ที่จงรักภักดีเพียงใด

ส่วนความปลอดภัยของฝ่าทาบนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย อย่างแรก เป็นเพราะว่าฝ่าทาบสวมใส่ชุดสำหรับการปลอมตัว คนที่รู้ก็มีเพียงทหารยามเท่านั้น นอกจากนี้ตัวเขาเองก็ยังเป็นศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงอีกด้วย เรียกได้ว่าเกือบจะเทียบเท่าระดับ ปรมาจารย์แล้ว นับว่าเป็นมือหนึ่งเลยทีเดียว ขอแค่ไม่ใช่คนที่มีฝีมือระดับเทพก็พอแล้ว คนที่สามารถปราบเขาได้ ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

เย่เทียนนั้นเชื่อใจเพียงแค่พระสนมจิ่นกับสี่เอ๋อและมู่ฉุนเฟิง สำหรับซูจื่อหลุนนั้นยังคงมีความระแวงอยู่บ้าง เขาต้องการปลอมตัวออกจากวัง อย่างแรกคือต้องแยกซูจื่อหลุนออกไปก่อน จากนั้นค่อยไปอยู่ในความอารักขาขององครักษ์มังกรเสือทั้ง 8 สาขา แล้วเดินตามมู่ฉุนเฟิงและคนอื่นๆออกไปทางประตูด้านข้างวังเพื่อออกไปข้างนอก

ภายในวังแห่งนี้ซูจื่อหลุนเป็นหัวหน้าผู้คุมและผู้ดูแลอันดับต้นๆ ตัวเขาเองกลายเป็นจิ้งจอกแก่ที่แสนรอบรู้แล้ว ฝ่าทาบจะปลอมตัวออกจากวัง มีเหรอที่จะหลบสายตาเขาไปได้?

แต่ซูจื่อหลุนเองก็ไม่ได้แอบตามองครักษ์พวกนั้นไป เพราะเขารู้ว่ามู่ฉุนเฟิงสามารถดูแลได้ แถมยังซื่อสัตย์ต่อฝ่าทาบเป็นอย่างมาก ยิ่งมีองครักษ์มากความสามารถอีกแปดคนเข้าไปอีก นอกจากนี้ยังมีทหารยามของมู่ฉุนเฟิงอยู่ด้วย ถ้าไม่ไปบังเอิญเจอกับคนที่มีฝีมือระดับปรมาจารย์ที่น่าหวั่นเกรง ก็คงจะไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของฝ่าทาบมาก

“ฝ่าทาบ สักวันหนึ่ง ท่านจะรับรู้ถึงความจงรักภักดีของคนรับใช้”ซูจื่อหลุนแอบดูอยู่หลังกำแพงล้อมรอบ จนกระทั่งเงาของเย่เทียนค่อยๆลับตาไป เขาถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปยังพระราชวัง

เย่เทียนปลอมตัวออกมานอกวัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินเล่นบนถนนเส้นใหญ่ เขามองดูถนนหนทางที่มีผู้คนหลั่งไหลมากมาย และมีร้านค้าต่างๆมากมาย ทำให้เขาตาลายไปหมด

เขาใส่ชุดแขนยาวสีคราม ดูมีเสน่ห์แพรวพราว มีความเป็นสุภาพบุรุษ แต่ก็แฝงไปด้วยความเจ้าชู้

บนถนนเส้นใหญ่เส้นนี้ มีผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ ทำให้ถนนเส้นนี้ดูเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีสาวงามมากหน้าหลายตา แน่นอนว่าไม่อาจเปรียบเทียบกับพระสนมจิ่นและพระสนมลี่ได้ แต่ก็ยังเรียกได้ว่าสาวงามเกินบรรยายเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีสาวงามบางคนยังแอบมองมาที่เขาอีกด้วย เมื่อได้สบตากัน ก็เขินจนแก้มที่สวยราวกับหยกนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง เห็นได้ชัดเลยว่าพวกนางนั้นเขินอายมากขึ้นไปอีก

คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่มองเหลียวหลังจะมากมายขนาดนี้ ความเย่อหยิ่งของเย่เทียนเพิ่มสูงขึ้นมาก หลังของเขาราวกับมีปีกงอกออกมา อย่างไรอย่างนั้น เวลาเดินรู้สึกตัวเบาขึ้นมาทันที

ทหารยามราวสี่สิบกว่าคนหลบซ่อนอยู่ในที่ต่างๆตามเมือง ที่นี่ไม่ได้มีชีวิตชีวามาก ออกจะชานเมืองหน่อยๆแถมคนยังน้อยอีกด้วย นับได้ว่าเป็นที่ซ่อนตัวที่ดีแห่งหนึ่งเลยทีเดียว

ที่นี่เดิมทีเป็นที่อยู่อาศัยของพ่อค้า โดยปกติก็จะไม่มีใครอยู่ ทหารยามบางคนก็มีญาติอยู่ที่นี่ การที่ทหารยามเหล่านี้จะเข้าไปอยู่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เย่เทียนเดินตามมู่ฉุนเฟิงและคนอื่นๆเข้าไป ก็พบว่ามีทหารยามสี่สิบกว่าคนคุกเข่ากันเป็นแถวรออยู่ก่อนแล้ว“คารวะฝ่าทาบ”

เย่เทียนโบกมือ “ลุกขึ้น แล้วนั่งลงเถอะ”

ฝ่าทาบให้นั่งลงได้?

ทหารยามเหล่านี้ตกตะลึงอยู่พักใหญ่ก่อนจะเรียกสติกลับมาได้ แต่ละคนตกใจที่ได้รับความเป็นกันเองจากฝ่าทาบ แต่ไม่มีใครกล้านั่งลงเลย ขนาดทั้งสามคนนั้นที่โดนคนฝีมือระดับเทพทำร้ายจนพิการ เทียบกับคนปกติทั่วไปยังอ่อนแอซะกว่ายังคงยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผยเลย

เย่เทียนมองดูพวกที่สวมชุดสีดำ ทหารยามแต่ละคนตื่นตัวจนดวงตาเร่าร้อน ภายในใจไม่สามารถหยุดความตื่นเต้นนี้ได้เลย ข้ายังไม่ทันจะทำอะไร พวกเจ้าก็ซาบซึ้งถึงเพียงนี้แล้วเหรอ?

เขาเรียกมู่ฉุนเฟิงให้มายืนข้างกาย และบอกแผนการที่เขานั้นคิดและรอคอยมาเนิ่นนาน

เมื่อพูดถึงกลุ่มองครักษ์ที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์หมิงหรือกององครักษ์เสื้อแพร ใครล่ะจะไม่ตกใจจนวิญญาณกระเจิงล่ะ?

เย่เทียนอยากจะอยู่อย่างมั่นคง ไม่เพียงแต่ต้องทำให้เหล่าทหารมีความจงรักภักดี แต่ยังต้องมีหน่วยงานลับพิเศษเหมือนกององครักษ์เสื้อแพรอีกด้วย ไม่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด เขาก็ต้องรับรู้ ส่วนทหารยามเหล่านั้นใส่ชุดดำกันหมด ถ้าอย่างนั้นก็ให้เรียกว่าองครักษ์ชุดดำก็แล้วกัน

ภายในบ้านเก่าแก่แห่งนี้ เพียงไม่นานก็ถูกเปลี่ยนเป็นที่บัญชาการลับขององครักษ์ชุดดำ มู่ฉุนเฟิงได้ขึ้นเป็นหัวหน้าขององครักษ์ชุดดำ ส่วนทหารยศรองลงมาก็ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะสั่งให้ไปทำอะไร

เย่เทียนนำเงินที่สี่เอ๋อหาแทนเขาหลายแสนมาทั้งหมด แล้วสั่งให้มู่ฉุนเฟิงนำเงินทั้งหมดไปกว้านซื้อที่อยู่แถวๆนี้ให้หมด

ที่นี่ไม่ได้ทีเพียงแค่ที่บัญชาการชั่วคราว แต่ยังมีที่ฝึกฝนขององครักษ์ชุดดำ พื้นที่นี้แน่นอนว่ามันใหญ่มาก แต่ทั้งหมดนี้ ไม่อาจทำแบบเปิดเผยได้ ทุกอย่างล้วนต้องปิดเป็นความลับ

เพื่อที่จะชนะใจมู่ฉุนเฟิงและคนอื่นๆได้ เย่เทียนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับองครักษ์ทั้งสามที่ถูกทำร้ายจนน่วมอีกด้วย และยังให้มู่ฉุนเฟิงมอบเงินให้กับพวกเขาจำนวนหนึ่งเพื่อดูแลครอบครัว เพื่อจะได้สั่งการพวกเขาให้ได้ง่ายที่สุด

อันที่จริง ถ้าจะเรียกใช้องครักษ์ชุดดำนั้น พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องใช้พลเรือนอยู่ไม่น้อย อาทิเช่นคนจัดการบัญชี คนจัดเก็บบันทึกต่างๆ คนวิเคราะห์ คนคัดกรองและคนรวบรวมข้อมูล ล้วนแล้วต้องการกำลังคนทั้งนั้น และแน่นอนว่าคนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อสู้เป็นก็ได้

องครักษ์ชุดดำกลุ่มหนึ่งรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหลอาบเต็มแก้ม พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นพลางโห่ร้องว่า“ฝ่าทาบเปรียบได้ดั่งเทพบนฟ้าบนสวรรค์ ข้าจะรับใช้ฝ่าทาบจนกว่าชีวิตจะหาไม่!”

สิ่งที่เย่เทียนทำนั้น ทำให้องครักษ์ชุดดำรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหลอาบเต็มแก้ม การที่พวกเขาเข้าร่วมเป็นองครักษ์ลับนั้น ก็เพื่อความมั่งมีไม่ใช่หรือ?แล้วในตอนนี้ ฝ่าทาบเปิดโอกาสให้พวกเขาแล้ว แถมยังดูจะเป็นห่วงเป็นใยอีกด้วย มีเหรอที่พวกเขาจะไม่ซาบซึ้งถึงเพียงนี้ แต่ละคนก็พยายามจะทำให้ฝ่าทาบเห็นว่าพวกเขานั้นจงรักภักดีขนาดไหน

เย่เทียนยิ้มขึ้น ก่อนจะขำอย่างภาคภูมิใจ และมีความสุข เขาได้กุมกองกำลังลับที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีเอาไว้ในมือแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังเป็นกองกำลังเล็กๆ แต่ทว่า จะมองข้ามกองกำลังนี้ไปไม่ได้เลย

เพื่อให้การแสดงตบตานั้นดูสมจริงมากขึ้นกว่าเดิม และให้องครักษ์ชุดดำนี้ตายใจ เย่เทียนให้คนไปซื้อเหล้ายาปลาปิ้งและร่วมดื่มด่ำไปกับพวกเขา เพื่อให้องครักษ์ชุดดำรู้สึกซาบซึ้งจนเกินจะบรรยายออกมาได้

เมื่อกินกันจนอิ่ม การแสดงสร้างภาพนี้ก็จบลง เย่เทียนที่กำลังอารมณ์ดีนั้นเดินวางท่าออกจากที่บัญชาการขององครักษ์ชุดดำไป และเดินเล่นไปบนถนนทั่วทุกหนแห่ง

ปกตินั้นยากที่เขาจะได้ออกมาเดินเล่นแบบนี้ และแน่นอนว่าเขาจะต้องเดินชมบรรยากาศสักหน่อย การเดินทางครั้งนี้ ก็ต้องเดินชมเมืองที่มีขื่อเสียงโด่งดังนี้ให้ทั่วๆ เพราะปกติเขามักจะอยู่แต่ในวัง เจอแต่ขันทีและอำมาตย์ บางทีก็เจอจนปวดขมับไปหลายวัน

ถนนเต็มไปด้วยยานพาหนะในสมัยก่อน แถมยังเต็มไปด้วยคนเดินเท้าอีกมากมาย เย่เทียนเดินพลางโบกพัดที่อยู่ในมือ ทหารองครักษ์ทั้งแปดคนเดินขนาบข้างเขา และมีสองคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเพื่อคอยเดินเปิดทางให้ ราวกับว่าเป็นปูที่เดินเรียงกันเป็นแถวอย่างไรอย่างนั้น


ชีวิตจักรพรรดิของข้า
คุณสามารถใช้ปุ่มลูกศรซ้าย/ขวาเพื่อถอยหลัง/ไปข้างหน้า
ประเมิน: 10.0/10 จาก 15 โพล
loading...