ชีวิตจักรพรรดิของข้า
บทที่ 26 ภาพลักษณ์
บทที่ 26 ภาพลักษณ์
รองผู้บัญชาการทหารป้องกันเมืองฝ่ายเหนือตู๋กูฉันเสว่ที่กำลังนำทหารป้องกันเมืองลาดตระเวนแถวถนนเขตการค้าอยู่นั้น ได้ยินว่ามีเจ้าหน้าที่ราชการถูกโจมตีตรงที่ทางการของเมืองฝ่ายเหนือที่อยู่ทางเหนือ ก็รีบนำคนไปล้อมตรงที่ทางการของเมืองฝ่ายเหนือไว้
เขานำคนเข้าไปในศาลนั้น คนในศาลทั้งหมดรวมถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทางการของเมืองฝ่ายเหนือกำลังหมอบอยู่ที่พื้นสีหน้าหวาดกลัว คนชุดดำสิบกว่าคนยืนล้อมรอบคุณชายวัยหนุ่มแน่นที่ยืนทะนงองอาจอยู่คนหนึ่ง
ตู๋กูฉันเสว่ทีแรกก็มึนงงอยู่ จนกระทั่งมองเห็นโฉมหน้าของเย่เทียนชัดเจน ก็อดไม่ได้ต้องรีบกระโดดเข้าไปคุกเข่าทำความเคารพ “ข้าน้อยตู๋กูฉันเสว่ถวายบังคมฝ่าทาบ”
ทหารป้องกันเมืองที่พุ่งเข้ามาก็รีบคุกเข่าลง “ถวายบังคมฝ่าทาบ”
เมื่อเย่เทียนได้เปิดเผยฐานะของตนเองแล้ว ชุนนางผู้ใหญ่ของที่ทางการถึงกับหอบหายใจสะดุด ล้มกระแทกพื้นเป็นลมสลบไป คุณชายสามหวางก็ทำท่าราวกับใกล้ถึงที่ตาย ตาสองข้างเหลือกเป็นสีขาว สั่นไปทั้งร่าง ล้มลงไปบนพื้นราวกับเป็นอัมพาต
ลบหลู่เบื้องสูง แล้วยังสั่งให้บ่าวไพร่มาทุบตีฮ่องเต้ แถมในศาลก็ยังยุยงส่งเสริมให้ขุนนางผู้ใหญ่ของที่ทางการโบยฮ่องเต้ มีโทษใหญ่หลวงทางอาญา ให้ยึดทรัพย์และประหารเก้าชั่วโคตร
“เจ้า นำคนเหล่านี้ทั้งหมดโยนเข้าคุก!” เย่เทียนสั่งตู๋กูฉันเสว่ แล้วหมุนร่างไปหาหัวหน้าสายตรวจที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “เจ้า จากนี้ไปที่ทางการนี่ต้องให้เจ้ารับผิดชอบแล้ว ถ้าหากว่าไม่สามารถยึดหลักความยุติธรรมในการทำงานได้ข้าจะยึดทรัพย์ทั้งบ้านประหารเก้าชั่วโคตร!”
หัวหน้าสายตรวจตอบอย่างตื่นเต้น “ขอบ...ขอบพระทัยฝ่าทาบ...ผู้น้อยจะไม่ลืมพระมหากรุณาธิคุณ...”
เขาเป็นเพียงแค่ขุนนางที่ดำรงตำแหน่งอย่างซื่อสัตย์สุจริตคนหนึ่ง ความจริงแล้วหัวหน้าสายตรวจค่อนข้างจะช่วยอะไรไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าฝ่าทาบจะสวมชุดธรรมดามาออกตรวจตราเยี่ยมชม แล้วยังมาเกิดข่าวคราวใหญ่เช่นนี้อีก
ถ้าในเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่นี้ มีขุนนางใหญ่ลำดับขั้นสูงมากมายราวกับปลาจี้อวี๋แหวกว่ายในแม่น้ำ ที่ทางการ ก็เหมือนกับผู้ปกครองอำเภอหนึ่ง รับผิดชอบควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งสี่ทิศ เป็นเพียงขุนนางขั้นเล็กๆในเมืองหลวงเท่านั้น แต่ถ้าจะให้หัวหน้าสายตรวจกล่าว นั่นอาจเรียกได้ว่าเป็นการเลื่อนตำแหน่ง อีกทั้งก็เป็นรับสั่งของฝ่าทาบ มีเกียรติยศสูงส่งช่วงนี้ ช่างดูผิดหูผิดตาจริงๆ
คุณชายสามหวางและขุนนางใหญ่ที่ทางการก็ช่างน่าเวทนา คุกคือที่คุมขังนักโทษคดีร้ายแรงหรือนักโทษรอประหารชีวิต ฝ่าทาบมีรับสั่งให้ขังในคุก จุดจบก็เหมือนถูกจัดวางไว้แล้วมิใช่หรือ?
หวางถง ฉายาแม่ทัพหลงฉี ผู้บัญชาองครักษ์กองทัพยู่หลิน(ทำหน้าที่พนักงานม้าเร็วเดินสาร จัดตั้งขึ้นเมื่อรัชศกไท่ชู ตรงกับรัชกาลฝ่าทาบอู่ตี้)กำลังดื่มสุราอยู่ในจวน กำลังโอบกอดเสพสุขกับอนุอย่างมีความสุข ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ ฉับพลันสีหน้าก็ดูหวาดวิตกทันใด รีบวิ่งไปเข้าพระราชวังขอรับโทษอย่างลนลาน
เขาคุกเข่าอยู่นอกตำหนักหลายชั่วยาม ทว่าฝ่าทาบก็ไม่เรียกเข้าพบ ถ้าหากฝ่าทาบจะด่าว่าเขาอย่างเสียๆหายๆ เหยียบเท้าเขา หรือเฆี่ยนโบยเขา เขากลับรู้สึกดีใจมากกว่า ทว่ายิ่งฝ่าทาบไม่เรียกพบ ในใจเขาก็ยิ่งหวาดกลัว
พอเห็นสูงซูจื่อหลุน ซึ่งคนสนิทของฮ่องเต้ผ่านมา หวางถงก็รีบวิ่งเข้าไปหา ฉุดรั้งซูจื่อหลุนไว้ ร้องไห้โอดครวญราวกับบิดามารดาตายกล่าวว่า “หัวหน้าซูช่วยข้าด้วย”
“เห้อ...” ซูจื่อหลุนเสแสร้งแกล้งทำเป็นถอนหายใจ “แม่ทัพหวางไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า เรื่องนี้จัดการยาก ฝ่าทาบทรงพิโรธมาก ความอดทนก็มีไม่เท่าไหร่...”
“หัวหน้าซู ช่วยข้าด้วย ปากท้องตระกูลหวังของข้าทั้งหมดล้วนฝากความหวังไว้กับท่าน หลังเรื่องนี้เสร็จสิ้นตระกูลหวังทั้งหมดต้องขอบคุณท่านแน่นอน” หวางถงอ้อนวอนขอชีวิต รีบคว้าซูจื่อหลุนไว้ไม่ยอมปล่อย เสมือนว่ากำลังลอยอยู่บนผืนมหาสมุทร ในมือคว้าฟางข้าวช่วยชีวิตไว้ก็ไม่ปาน
หัวหน้าผู้ช่วยหอเกียรติยศ(องค์กรระบบราชการของจักรวรรดิจีน โดยนิตินัยเป็นหน่วยประสานงาน แต่โดยพฤตินัยเป็นเป็นสถาบันสูงสุดในการปกครอง ปัจจุบันใช้เรียกคณะรัฐมนตรี) สภาอาวุโสจางไม่อยู่ ซูจื่อหลุนเป็นคนสนิทของฮ่องเต้องค์ก่อน ถ้าหากว่าแม้แต่เขาก็จนปัญญา งั้นก็ไม่มีใครมาช่วยชีวิตเขาและครอบครัวได้แล้ว
ซูจื่อหลุนก้มหัวครุ่นคิดพักหนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “มีอยู่วิธีหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่า...”
“หัวหน้าซู มีวิธีอะไรเหรอ? ท่านรีบบอกมา แค่เพียงรอดจากวิกฤตนี้ได้ ข้าก็ขอบคุณมากแล้ว” หวางถงคุกเข่าลง รีบคว้าชุดขุนนางของซูจื่อหลุนไว้ไม่ยอมปล่อย ร้องไห้ปล่อยโฮออกมาจนน้ำหูน้ำตาไหล
ซูจื่อหลุนบอกอย่างไม่ใส่ใจว่า “แม่ทัพหวางอยากจะรักษาตัวรอดไว้ ทำได้เพียงแค่ชิงลาออก บอกเพียงว่าอายุมากแล้วคิดอยากกลับบ้านเกิด ถึงจะรอดได้หมด ส่วนบุตรชายนั้นถึงอย่างไรก็ยังอายุน้อยและเอาแต่ใจ รอให้ฝ่าทาบคลายพิโรธลงแล้วค่อยว่ากัน อืม ตอนนี้ฝ่าทาบกำลังปวดหัวเรื่องด่านชายแดนและผู้ประสบภัย ทางที่ดีถ้าหากมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ ไม่แน่ว่าฝ่าทาบอาจจะรู้สึกดีใจ เรื่องอื่นก็ไม่มีอันใดแล้ว”
“จะ....จริงเหรอ?” หวางถงรู้สึกตื่นเต้นจนพูดจาไม่เป็นคำ โชคก็ไม่มีแล้ว แล้วยังบัญชาการองครักษ์กองทัพยู่หลินนั่นอีก สามารถปกป้องปากท้องคนในตระกูลได้ก็ไม่เลวแล้ว ทั้งหมดก็เพราะเจ้าลูกไม่เป็นโล้เป็นพายนั่นที่ทำให้ลำบาก เห้อ...
ณ ตอนนี้ เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปตำหนิลูกชาย “หัวหน้าซู ท่านคิดว่าต้องบริจาคเท่าไหร่?”
“แน่นอนว่ายิ่งเยอะยิ่งดี” ใบหน้าที่แก่ชราของซูจื่อหลุนมีรอยยิ้มแปลกประหลาดโผล่ออกมา หวางถงครั้งนี้คงทำให้ปวดหัวจริงๆแล้ว ฝ่าทาบหนอ บ่าวได้ช่วยพระองค์ขจัดอุปสรรคแล้ว บ่าวจงรักภักดีกับพระองค์ขนาดนี้ ฟ้าดินคงพินิจเห็น
หวางถงรู้สึกขอบคุณซูจื่อหลุนอย่างไม่หยุดหย่อน จากนั้นจึงรีบออกจากวัง กลับไปรวบรวมเงินตำลึง เขียนจดหมายลาออก
เขาคุกเข่าอยู่ในวังครึ่งวัน แค่กลับไม่รู้ว่าฝ่าทาบไมได้กลับวัง คุกเข่าอย่างนั้นมาครึ่งวัน น้ำตารินไหลได้หลายอ่าง ช่างเป็นฉากที่น่าสลดเสียจริง
เย่เทียนแท้จริงแล้วไม่ได้กลับวัง หลังนำคนออกจากที่ทางการ เขาได้ให้มู่ฉุนเฟิงส่งคนไปยังหัวมุมตลาดแอบลอบฟังพฤติกรรมของรองผู้บัญชาการทหารป้องกันเมืองตู๋กูฉันเสว่แล้วยังรวมไปถึงการทะเลาะเบาะแว้งของขุนนางแม่ทัพทั้งราชสำนัก ทะเลาะไม่รู้จบ ซึ่งเป็นพฤติกรรมของถังเจียงหมิง มหาบัณฑิตหอเกียรติยศ ปราชญ์มหาสำนัก จนบัดนี้ก็ยังถูกจับขังไว้ในคุกเหมือนเดิม
แม้จะกล่าวได้ว่าถังเจียงหมิงยังต้องโทษอยู่ แต่เขาก็ยังให้คนไปตรวจสอบเรื่องของถังเจียงหมิงในหมู่คน ดูว่าเสียงวิพากษณ์วิจารณ์เขาเป็นอย่างไรบ้าง
รอคนที่ส่งไปตรวจสอบกลับมา ท้องฟ้าก็ใกล้ค่ำแล้ว แสงยามสายัณห์สวยงามตระการตาทำให้คนหลงใหลเป็นพิเศษ
เย่เทียนอาจจะยังไม่เคยมานั่งชื่นชมแสงสายัณห์อะไรแบบนี้ เขากำลังฟังรายงานขององครักษ์ชุดดำอย่างเงียบๆ
“ฝ่าทาบใต้เท้าถังในหมู่ประชาชนค่อนข้างบริสุทธิ์ไร้มลทิน พวกเขาบอกว่าฝ่าทาบ....” องครักษ์ชุดดำที่รายงานคล่องปากอยู่นั้น จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ไม่เพียงแต่ทำเสียงอึกอัก คำพูดต่อไปก็เหมือนถูกกลืนหายเข้าไปในท้อง
ไม่ต้องให้เขาพูดออกมา เย่เทียนก็รู้ว่าชาวบ้านเหล่านั้นคงด่าว่าเขาว่าเป็นทรราช เห้อ ภาพลักษณ์ของพี่ชายคนนี้ในสายตาชาวบ้านนี่ ไม่สามารถทนได้จริงๆ แย่มากเลย
คำวิจารณ์ของตู๋กูฉันเสว่ก็ไม่เลว เขาเป็นลูกชายของตู๋กูจิ้น ปิงปู้ซ่านซู(ขุนนางฝ่ายทหาร) ไม่มีความเย่อหยิ่งอวดดีแบบเจ้าคุณชายเหล่านั้น ที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ และค่อนข้างมีเรื่องอื้อฉาว อายุสิบแปดก็เข้าร่วมเป็นทหาร ประสบการณ์ยุทธการรบที่น่าหดหู่ก็มีไม่น้อย อาศัยความสามารถโดดเด่นทางกองทัพเลื่อนขั้นมาเป็นรองผู้บัญชาการทหารป้องกันเมือง
แน่นอน เหมือนกับเขาที่ยังหนุ่มแน่น อาศัยความโดดเด่นทางการทหารไต่เต้าขึ้นมาดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารป้องกันเมือง ยังต้องพึ่งพาอำนาจจากตระกูลด้วย
เย่เทียนมีความประทับใจต่อเขาไม่น้อย เพียงกังวลว่าเจ้าหนุ่มนี่จะซื่อสัตย์กับตนเองหรือไม่ ไม่สนใจว่าต้องใช้ตู๋กูฉันเสว่หรือไม่ หวางถงแม่ทัพหลงฉีผู้บัญชาการองครักษ์กองทัพยู่หลิน แน่นอนว่าถูกปลดจากตำแหน่งแน่นอน ช่างเป็นโอกาสที่ดีที่มาถึงหน้าประตู เขาจะพลาดได้อย่างไรกัน
จนกระทั่งข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์สำรวจตรวจตราเขตประสบภัยทางเหนือ ในใจเขาก็มีคนที่เลือกไว้แล้ว นั่นก็คือถังเจียงหมิง มหาบัณฑิตหอเกียรติยศ ชายผู้นี้ได้รับคำวิจารณ์ในหมู่ประชาชนค่อนข้างดี งั้นก็ให้เขารับผิดชอบดีกว่า
ดังนั้น เย่เทียนจึงนั่งรถม้ามุ่งสู่คุก อยากจะไปดูสักหน่อยว่าถังเจียงหมิงขุนนางใหญ่ผู้ซื่อสัตย์คนนั้นจะเป็นอย่างไร
ชีวิตจักรพรรดิของข้า