ชีวิตจักรพรรดิของข้า
บทที่ 30 สาวงามข้างกำแพง
บทที่ 30 สาวงามข้างกำแพง
เมื่อ เย่เทียนตื่นขึ้นมา ก็เป็นยามเที่ยงแล้ว ท้องส่งเสียงร้องดังโครกคราก พระสนมจิ่นและสี่จาวหรงที่ช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ก็จัดโต๊ะอาหารเล็กๆไว้ในห้องบรรทมไว้แล้ว
กับข้าวมีไม่มาก กับข้าวห้าอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง นี่เป็นเพราะก่อนหน้าเขามีรับสั่งไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย
มีสาวงามสองนางอยู่เคียงข้าง เย่เทียนก็ทานอาหารอย่างเบิกบาน ได้ยินว่ารองผู้บัญชาการองครักษ์ชุดดำมู่ฉุนเฟิงมารออยู่นอกตำหนักนานแล้ว เขาจึงทานอาหารเที่ยงเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเสด็จไปห้องอักษร
“ฝ่าทาบ นี่คือป้ายคำสั่งขององครักษ์ชุดดำ เชิญฝ่าทาบทอดพระเนตร” มู่ฉุนเฟิงยื่นแผ่นเหล็กสีดำมืดชิ้นหนึ่งให้ด้วยความเคารพ นี่คือแผ่นเหล็กที่ทำตามที่ฝ่าทาบออกแบบ ด้านหน้าแผ่นเหล็กแกะสลักรูปหัวกะโหลกมนุษย์ดูน่าหวาดกลัว ด้านหลังสลักชื่อและตำแหน่งของสมาชิกองครักษ์ชุดดำ
ทำได้อย่างละเอียดงดงาม เย่เทียนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ชมเชยมู่ฉุนเฟิงไปยกใหญ่ จากนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปจากวังอย่างเงียบๆพร้อมกับองครักษ์มังกรเสือแปดนายและมู่ฉุนเฟิง
วันนี้คือวันที่ก่อตั้งองครักษ์ชุดดำอย่างเป็นทางการ เขาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแน่นอนว่าต้องไปดูสักหน่อย เพื่อที่จะไปให้ขวัญกำลังใจแก่ผู้ใต้บัญชา และผูกมัดใจผู้คน
เย่เทียนแต่งกายเป็นบัณฑิตเหมือนเดิม ดูสุภาพมีมารยาท ในมือถือพัดหนึ่งด้าม ดูสง่าผ่าเผยเป็นที่สุด
สำนักงานขององครักษ์ชุดดำตั้งอยู่ทางทิศประจิมของวัง เมื่อฤกษ์เปิด ขุนนางใหญ่มากมายในวังล้วนมาแสดงความยินดี แต่ก็เพียงแค่อยากประจบสอพลอมู่ฉุนเฟิงเท่านั้น ไม่มีอะไรมากมาย
เย่เทียนเพียงแค่ยืนมองอยู่ห่างๆ จากนั้นจึงไปยังฐานลับขององครักษ์ชุดดำ
ตามคำสั่งของเขา มู่ฉุนเฟิงได้ซื้อเรือนใกล้ๆบริเวณนี้ไว้สิบกว่าเรือน นอกจากนี้ก็ไปหาที่อยู่ใหม่ให้ประชาชนเหล่านั้น แล้วยังช่วยพวกเขาปลูกเรือนใหม่ ประชาชนเหล่านั้นแน่นอนว่าย่อมยินดีที่จะย้ายออก
ฐานลับขององครักษ์ชุดดำนี้มองภายนอกก็เหมือนบ้านของคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้ดูน่าดึงดูดอะไร แต่ภายในทั้งหมดกลับทะลุถึงกัน รวมกันเป็นเรือนเดียว กว้างขวางเหลือเฟือ มีทั้งสนามฝึกซ้อม ห้องนอน ห้องทำงานราชการ ห้องเก็บเอกสาร ห้องขัง โรงเก็บของ คอกม้า แล้วยังมีห้องลับ ห้องใต้ดิน คล้ายกับค่ายทหารย่อมๆเลยทีเดียว
เย่เทียนพอใจกับที่นี่เป็นอย่างมาก ชมเชยไปยกใหญ่ ทำให้เหล่าองครักษ์ชุดดำรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหล เพียงแค่หัวหน้าเอ่ยปากชม ไม่ต้องมีเหรียญแผ่นทองใดก็ชนะใจคน ไฉนจะไม่เห็นด้วยเล่า
องครักษ์ชุดดำแบ่งออกเป็น มังกร พยัคฆ์ เหยี่ยว เสือดาวสี่หน่วย หน่วยมังกรมีหน้าที่ลงมือสังหาร หน่วยเหยี่ยวมีหน้าที่ลาดตระเวน รวบรวมข้อมูลรายงาน หน่วยพยัคฆ์ทำหน้าที่เตรียมการ ป้องกันและคอยสนับสนุน จัดการสถานที่ หน่วยเสือดาวทำหน้าที่รักษาการณ์ วิเคราะห์ข้อมูลที่รายงาน ไต่สวนพิจารณาคดี จัดหาคนและฝึกอบรม แบ่งงานกันชัดเจน
“ฝ่าทาบ ข้างกำแพงมีสาวงามอยู่” องครักษ์ชุดดำนายหนึ่งเดินเข้ามากระซิบเสียงต่ำข้างหูมู่ฉุนเฟิง มู่ฉุนเฟิงก็รีบนำมารายงานฝ่าทาบ
สมาชิกทั่วไปขององครักษ์ชุดดำเดิมทีก็เป็นองครักษ์มังกรเสือมาก่อน เคยรับบัญชาแทนฝ่าทาบให้ไปตามหาสาวงามแห่งยุคมาก่อน องครักษ์ชุดดำหงกาง ที่เพิ่งเข้ามารายงานก็เคยติดตามมู่ฉุนเฟิงไปค้นหานางฟ้าเหยียนเยว่มาก่อน แน่นอนว่าย่อมต้องเข้าใจความชอบของฝ่าทาบ
ปัจจุบันนี้เขาเป็นองครักษ์รักษาการณ์องครักษ์ชุดดำ คล้ายกับองครักษ์เสื้อแพร ฝ่าทาบให้เกียรติมาฐานลับ มู่ฉุนเฟิงแน่นอนว่าต้องเตือนให้คอยระวัง หงกางมีหน้าที่ป้องกันรักษา เขาไม่ได้มีเจตนาจะปีนกำแพงรั้ว คาดไม่ถึงว่าจะเห็นสาวงามคนหนึ่งอยู่ข้างกำแพง จึงรีบกระหืดกระหอบมารายงาน เมื่อวิเคราะห์ได้ว่าฝ่าทาบคงจะชอบ
เย่เทียนได้ยินก็ตาเป็นประกาย บนหน้าเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ท่านมู่ก็เคยได้รับคำสั่งไปหาสาวงามแห่งยุคให้เขา แน่นอนว่าย่อมรู้งานอดิเรกที่ชอบสะสมของเขา สามารถให้ท่านมู่เอ่ยปากเรียกสาวงามได้ แน่นอนว่าต้องอยู่ระดับสวยขั้นเทพแน่นอน
หงกางที่ในใจครุ่นคิดมาอย่างละเอียดพอเห็นท่าทางคึกคักดีใจของฝ่าทาบ ก็รีบย้ายบันไดมาพิงบนกำแพงสูง เขาปีนขึ้นไปสำรวจอีกรอบ เมื่อมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วจึงลงมา
องครักษ์ชุดดำสองสามนายเอามือจับบันได เย่เทียนปีนขึ้นบันไดไปดู อดไม่ได้ต้องถูจมูกไปมา พอเห็นกำแพงของสิ่งก่อสร้างที่เป็นบ้านมีลานกว้าง หลังลานนั้นมีพรรณไม้หายากปลูกอยู่ แล้วยังมีพลับพลา ก็รู้แล้วว่าเป็นของตระกูลใหญ่ที่มีอันจะกิน
พลับพลาหลังเล็กนั้นล้อมรอบด้วยผ้าแพรโปร่งบาง ที่พลิ้วไหวตามแรงลม ภายในพลับพลามีโต๊ะน้ำชาจัดวางอยู่ บนโต๊ะยังมีขนม ผลไม้ น้ำชา มีสาวงามที่นอนตะแคงอย่างเอื่อยเฉื่อยบนเตียงข้างๆ หันหน้ามาทางด้านเย่เทียนพอดี เพียงแต่ว่าสาวงามนี้ดูเหมือนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ ไม่ทันสังเกตเห็นเย่เทียนที่แอบหมอบอยู่ที่สันกำแพง
สาวงามคนนี้มีคิ้วโค้งสวยได้รูปราวพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาดอกท้อเป็นประกายใสราวกับน้ำลึกในบึง ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนจะจมน้ำตายก็ยอม แก้มใสแวววาวราวหยกไร้ซึ่งแป้งแต่งเติมแม้แต่ครึ่ง ริมฝีปากแดงอวบอิ่มน่าดึงดูด กับท่าทางที่ดูเอื่อยเฉื่อยจากการที่เพิ่งตื่นนั้น ทำให้มีเสน่ห์น่าดึงดูดเพิ่มเป็นเท่าทวี
เวลานี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน อากาศร้อนแผดเผา นางมวยผมเกล้าขึ้นสูง เผยให้เห็นลำคอเพรียวระหง ผิวหนังขาวราวหยก บนตัวสวมเพียงชุดผ้าไหมบางๆ ปรากฏให้เห็นเสื้อในอย่างเรือนราง สัดส่วนโค้งเว้า เรือนร่างอวบอิ่ม โชยกลิ่นอายเสน่ห์แบบผู้ใหญ่
ถ้าหากจะให้กล่าว พระสนมจิ่นสวยแบบสูงส่งเพียบพร้อม พระสนมลี่ช่างประจบประแจงราวสวรรค์เสกสร้าง มีเสน่ห์เย้ายวนใจ ส่วนเสน่ห์ของสาวงามผู้นี้ ก็อาจเทียบได้กับสตรีทั้งสองหรืออาจจะเป็นสตรีทั้งสองรวมกันได้นางคนหนึ่ง จึงประกอบมาเป็นนางที่สวยมีเสน่ห์โดดเด่น
ของเลิศล้ำเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องเทียบขั้นงามล่มเมืองได้แน่
พูดถึงสาวงามท่านนี้ ก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองหลวง
นางชื่อว่ากู้ซีหยุน ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองเผิง มาจากครอบครัวยากจน เมื่ออายุสิบห้าก็ได้แต่งเข้าตระกูลหลิวตระกูลของคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองเผิง สามี ชื่อหลิวถงเซิงอายุสั้น กู้ซีหยุนเพิ่งแต่งเข้าสกุลได้สามเดือนสามีก็ตายกลายเป็นศพ
กู้ซีหยุนปฏิบัติตามจารีตประเพณีทุกอย่างที่สตรีควรปฏิบัติ นับว่าเพื่อไว้ทุกข์ให้สามีที่ตาย ตั้งแต่สามีตายไปก็ไม่เคยแต่งงานใหม่ ใครจะไปคิดว่าพ่อสามีหลิวหมิง นายท่านหลิวจะเป็นเฒ่าหัวงู คาดไม่ถึงว่าจะไปดึงดูดความสนใจจากนาง
เรื่องสกปรกโสมมเช่นนี้ เมื่อเกิดขึ้นในตระกูลใหญ่ พบเห็นได้จนชินไม่แปลกตา แต่กู้ซีหยุนไม่ใช่สตรีอ่อนแอที่ต้องจำทนต่อสภาพการณ์ที่เลวร้าย นางดื้อด้านหัวแข็งยอมตายดีกว่าจะทำเรื่องแบบนี้ แถมแนวคิดก็ค่อนข้างเปิดกว้าง มักจะคิดว่าทำไมสตรีถึงต้องรักและอยู่กินกับคนผู้เดียวไปจนตาย แต่บุรุษกลับสามารถมีได้ถึงสามภรรยา เมื่อสตรีต้องลาจากแล้ว บุรุษถึงกับไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เลยเหรอ?
อาจจะกล่าวได้ว่า นางคือผู้หญิงหัวสมัยใหม่คนหนึ่งเลยทีเดียว
หลิวหมิงนายท่านหลิวคิดที่จะทำเรื่องสกปรกกับนาง แต่เหมือนจะตัดสินใจผิดพลาด ราตรีที่อากาศเลวร้ายคืนหนึ่ง เจ้าตาแก่เฒ่านี่ก็เข้าไปยังห้องนอนของลูกสะใภ้ คิดจะทำเรื่องอย่างว่า ผลสุดท้ายคือถูกลูกสะใภ้ดุด่าต่อว่าไปยกหนึ่ง
นายท่านหลิวที่หนังหนาหน้าด้านไม่ยอมที่จะปลดตัวเองให้ล้มลงเด็ดขาด ในใจทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งทำอะไรไม่ได้ ตระกูลหลิวเป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองเผิง มีทั้งกำลังอำนาจ ถ้าขืนปล่อยให้เรื่องอื้อฉาวนี่หลุดออกไป ตระกูลหลิวคงจะเสียหน้าเกินกว่าจะยอมรับได้
พอเห็นลูกสะใภ้ผู้งามพริ้งคนนี้โดดเดี่ยว นายท่านหลิวคนแก่ใจไม่แก่ย่อมต้องไม่รู้สึกยินยอมที่จะวางมือ เพื่อที่จะบีบบังคับให้กู้ซีหยุนยอมแพ้ เขาจึงทำเป็นกลับกลอก กู้ซีหยุนหมดความอดทน อาละวาดยกใหญ่ ต้องการตัดขาดและออกไปจากตระกูลหลิว จึงออกมายืนหยัดด้วยลำแข้งตนเอง
ระยะนั้นเรื่องราวเป็นที่โจษขานไปทั่ว เพื่อหน้าตาของตระกูลหลิว นายท่านหลิวก็ต้องยอมเห็นด้วยให้กู้ซีหยุนออกไปยืนหยัดด้วยลำแข้งตนเองอย่างจนใจ ในเวลานี้ ถือว่าเป็นการท้าทายประเพณีดั้งเดิมเป็นการกระทำที่โลกต้องตกตะลึง
กู้ซีหยุนไม่สนใจสายตาคนอื่น และคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆที่โถมเข้าใส่ นางได้พาคนรับใช้และเอาสินเดิมฝ่ายหญิงของตนเองออกมา และพยายามยืนหยัดพาตัวเองมายังเมืองที่รุ่งเรืองแห่งนี้
ในยุคสมัยที่สตรีต้องทำตามหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา แม่หม้ายที่สูญเสียเสาหลักไป แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก แต่กู้ซีหยุนก็นำสมบัติเดิมไปขาย หลังจากนั้นก็ไปแสวงโชคอยู่ในเมืองหลวงสองสามปี เป็นการยืนหยัดด้วยลำแข้งตนเองอย่างแท้จริง
ปัจจุบันนี้ นางเป็นเถ้าแก่ร้านขายผ้าสามร้าน มีบ้านหรูหนึ่งหลัง นอกเมืองมีไร่นา มีที่นาหลายร้อยหมู่(หมู่ หน่วยวัดขนาดพื้นที่ของจีน หนึ่งหมู่เท่ากับ666.67 ตาร)แต่ละวันผ่านไปอย่างราบรื่น มีฐานะสูงสุดอย่างที่เห็นเป็นอยู่ภายนอกนี้
ชีวิตจักรพรรดิของข้า