ชีวิตจักรพรรดิของข้า

บทที่ 39 ชายที่ดีหนึ่งเดียวในโลก

บทที่ 39 ชายที่ดีหนึ่งเดียวในโลก

เฟยเหยียนเชี่ยวชาญขลุ่ย พูดได้ว่าเป็นยอดฝีมือทางด้านดนตรี เขามองดูเพลงโน้ตที่ป๋ายหลิงบันทึกไว้เป็นคร่าวๆก็จดจำไว้ในใจ

ขลุ่ยวางใกล้ริมฝีปากแดง ดวงตางดงามของเขาทั้งคู่มองอยู่บนใบหน้าของคุณชายเย่ในใจล้วนคิด นี่คือผลงานเพลงเทพสั่นสะเทือนโลกของคุณชายเย่ ฉันจะต้องทุ่มสุดจิตสุดใจจะไม่ให้คุณชายเย่ดูถูกเด็ดขาด

เย่เทียนอมยิ้มมองหญิงทั้งสอง พยักหน้านิดๆ ถือว่าเป็นการให้กำลังใจ

นักกวีชื่อดังคุณธรรมสูงส่งที่ยิ่งใหญ่บริสุทธิ์ทั้งหลายที่เบียดเสียดอยู่นอกประตู แต่ละคนสงบจิตสงบใจรอการบรรเลงรวมของป๋ายหลิงกับเฟยเหยียน ตะกี้ ป๋ายหลิงบรรเลงเดี่ยว ก็ทำให้นักกวีชื่อดังหลายคนล้มลงไปแล้ว แต่นักกวีชื่อดังบางคนที่ความรู้ลึกทางด้านดนตรี ก็รู้สึกออกได้ แม้ว่าป๋ายหลิงเป็นยอดฝีมือด้านพิณ แต่ก็ไม่สามารถบรรเลงถึงพลานุภาพที่กล้าแข็งและความสง่างามของเพลงนี้ออกมาได้เช่นเดิม

พิณขลุ่ยร่วมบรรเลง ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผลอย่างไงหรือ? แท้จริง แม้ว่าพิณขลุ่ยร่วมบรรเลงไม่สามารถถึงสภาพที่สมบูรณ์งดงาม แต่เชื่อว่าก็ไม่ได้ต่างกันมากล่ะ ต่อพวกเขามากล่าวว่า สามารถได้ยินพิณขลุ่ยร่วมบรรเลงของเฟยเหยียนกับป๋ายหลิงนั่นถือว่าเป็นการเสพสุขที่ยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่งแล้ว

เฟยเหยียนเป่าขลุ่ยก่อน เสียงขลุ่ยดั่งเสียงร่ำไห้ เหมือนดั่งเสียงธรรมชาติเสียงเพลงยอดเยี่ยมจากนางฟ้า ในท่ามกลางความเศร้าโศกลึก เสียงพิณ พิ้งพิ้ง ดังขึ้นทันที ตื่นเต้นเดือดดาลกับเสียงขลุ่ยที่จะตกแต่ยังไม่ตกถึงเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้น่าตื่นเต้น

ป๋ายหลิงกับเฟยเหยียนล้วนเป็นแม่นางที่มีชื่อเสียงในโรงน้ำชาหลิวเซียง ยามปกติล้วนเรียกกันเป็นพี่น้อง ส่งเสริมช่วยเหลือซึ่งกันและกันคนหนึ่งเชี่ยวชาญขลุ่ยคนหนึ่งเชี่ยวชาญการดีดพิณ เขาสองคนมักร่วมบรรเลง ทำให้แขกสนุกสนาน เวลานานแล้วอยู่ในการร่วมบรรเลงก็ต้องรู้ใจกันโดยปริยาย

ยามที่ไปโรงเรียนเย่เทียนมักใช้เครื่องอ่านภาษาอังกฤษมือสองมาเปิดเพลง《เยาะเย้ยกับชีวิต》คือเพลงที่เขาชอบที่สุด ฟังไปหลายรอบมากแม้ว่าไม่มีเส้นทางด้านดนตรี เขาก็มักจะร้องอยู่บ้าง

บางครั้งรู้สึกว่างจนน่าเบื่อ เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันที ก็จะวิ่งไปยังที่ของพวกพี่น้องที่เป็นมือกลองแจ็สนั่น เคาะมั่วไปเป็นเวลานานก็ได้ฝึกเป็นบ้างเล็กๆน้อยๆ

พิณขลุ่ยร่วมบรรเลงของป๋ายหลิง เฟยเหยียน เทียบกับการบรรเลงเดี่ยวเมื่อกี้เพิ่มพลานุภาพบางส่วน แต่เย่เทียนก็ยังรู้สึกกล้าแข็งตื่นเต้นเดือดดาล ไม่พอ เขาร้องตามจังหวะดนตรีของท่อนโน้ต ในการหมุนเปลี่ยนระหว่างเสียงพิณกับเสียงขลุ่ย ช่วงระหว่างเหมือนมีเหมือนไม่มี จู่ๆเขาก็ใช้มือเคาะโต๊ะอย่างรวดเร็วมีเสียงหดหู่ต่ำๆ ที่ โป้งโป้งโป้ง ออกมา

เขาเปล่งเสียงจากคอร้องขึ้นมา

เสียงหัวเราะจากทะเล

คลื่นซัดขึ้นและลง

เราลอยคอตามเกลียวคลื่นเพียงแค่จดจำเวลาในยามเช้า

เสียงหัวเราะจากฟ้า

โลกสับสนวุ่นวาย

ใครเป็นผู้แพ้ ใครเป็นผู้ชนะมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้

เสียงหัวเราะจากแม่น้ำภูเขา

หมอกฝนอยู่ไกลออกไป

……

จู่ๆก็มีเสียงชายกับเสียงหดหู่ที่ใช้มือเคาะโต๊ะเข้ารวมกัน ฟังดูแล้วรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย แต่รู้สึกมีจังหวะมาก กับการบรรเลงเสียงเพลงเป่าดีดของหญิงทั้งสองผสมผสานกัน

เสียงทั้งสามร่วมด้วยกัน คู่กับเสียงชายปานกลางที่มีเสน่ห์นิดหน่อยของเย่เทียน ถึงช่วงโน้ตดั่งเหมือนคลื่นพายุกระทบแนวปะการัง ดั่งฝูงม้าจำนวนมหาศาลวิ่งพุ่งโจนทะยานไปข้างหน้า ทรงพลังมีพลานุภาพ ตื่นเต้นเดือดดาล ไพเราะสละสลวยดึงดูดใจ

หนึ่งเสียงพิณ พิ้ง ไพเราะน่าหลงใหล หนึ่งเพลงบรรเลงจบ เย่เทียนหน้าแดงหัวเราะแห้งๆ หลายเสียงเขาก็อดใจไม่ได้ที่จะร้องออกมาคราวนี้ขายหน้าใหญ่แล้ว

แต่ว่า การบรรเลงพิณขลุ่ยของป๋ายหลิงกับเฟยเหยียนร่วมมือกันได้ดีจริงๆ งดงามที่สุด บวกกับคอร์ลัดที่เหมือนคล้ายดั่งกลองแจ๊ซของเขา ทำให้พลานุภาพและความสง่างามของเพลงนี้ล้วนร่วมบรรเลงออกมาแล้ว ก็นับว่าน่าสนุกที่สุด

ป๋ายหลิงถอดหายใจสักเสียงอย่างเศร้าๆ “ป๋ายหลิงเกิดจากหอนางโลม บรรเลงให้แขกไปหลายเพลง เพลงนี้คือเพลงที่น่าสนุกที่สุดของป๋ายหลิงในชาตินี้ขอบพระคุณ คุณชายเย่อย่างมาก”

เขาย่อตัวโค้งคำนับ ความรู้สึกในใจที่เงียบเหงานั้นยิ่งหนักขึ้น น้องเฟยเหยียนใสสะอาดน่าเอ็นดูไร้เดียงสา เขาเป็นพี่จะแย่งกับน้องได้อย่างไรล่ะ? อีกทั้งเขาเสียโฉมไปแล้ว คุณชายเย่อาจจะไม่รังเกียจแต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

เย่เทียนโค้งคำนับกลับ กล่าวด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนว่า “เพลงดี ฝีมือพิณของแม่นางยิ่งดี.....”

สีหน้าผิดหวังบนใบหน้างดงามของป๋ายหลิงทำให้เขาอึ้งไปนิดหนึ่ง ตะกี้ยังดีๆอยู่เลย ทำไมประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นเช่นนี้ละ?

“คุณชาย” เฟยเหยียน แสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจผิดปกติ เขาเกี่ยวแขนของเย่เทียนไว้แกว่งไปแกว่งมากล่าวด้วยเสียงออดอ้อนว่า “เฟยเหยียนขอคุณชายเขียนเนื้อเพลงและทำนองออกมาเจ้าค่ะ”

หญิงงามน้อยเห็นได้ชัดว่ากำลังออดอ้อนอยู่ ในใจเย่เทียนอดไม่ได้สั่นไหว เลือดเดรัจฉานหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็เดือดพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก แต่ว่าในยามนี้เพียงอดทนไว้ได้อย่างเดียว มิฉะนั้นความประทับใจที่ดีแก่พวกสาวสวยก็ต้องลดลง

เขามองไปที่ป๋ายหลิงที่มีสีหน้าสิ้นหวังหน่อยหนึ่ง สายตาป๋ายหลิงก็แอบมองมาพอดี สายตาทั้งสองชนกันกลางอากาศ ป๋ายหลิงแก้มเงาสะอาดของป๋ายหลิงแดงระเรื่อขึ้นมา รีบปิดม่านตาลง มือน้อยๆจับหน้าอกไว้หัวใจที่เต้น ตึกตึก เหมือนจะเต้นออกมาจากอกแล้ว

หญิงงามป๋ายหลิงอยากบอกว่ามีความรู้สึกกับพี่แล้วนะ? นั่นยิ่งดี กับหญิงงามในระดับนี้ พี่ไม่เคยรังเกียจว่าเยอะ ทำบุญมาเยอะๆยิ่งดี!

เฟยเหยียนนิสัยเรียบง่าย จะดูออกได้ยังไงว่าสองคนนั้นกำลังสบสายตากัน เขาตื่นเต้นดีใจเปิดกระดาษเปล่าปูไว้ ฝนหมึกด้วยมือตัวเองรอเย่เทียนลงพู่กันเขียนเนื้อเพลง

เย่เทียนมือหนึ่งถือพู่กัน จับจมูกหนึ่งครั้งตามความเคยชิน นี่เขากำลังลังเลอยู่ มีความกังวลไม่มากก็น้อย

ตัวเต็มเขาก็เขียนเป็น แต่ตัวหนังสือนี้ ในใจเขาก็ไม่มั่นใจแล้ว ถ้าเขียนไม่ดี ความประทับใจที่งดงามสมบูรณ์นี้ก็ต้องลดลงแล้วล่ะ

พ่อเขาเป็นอาจารย์สอนภาษาม.ต้น เขียนตัวหนังสือด้วยพู่กันสวยงามมาก เย่เทียนไม่ได้รับอิทธิพลจากพ่อ แต่คือถูกบังคับฝึกฝนเขียนตัวหนังสือด้วยพู่กันหลายปี ตลอดจนม.ปลายก็ไม่เคยขาด จนถึงขึ้นมหาวิทยาลัย ห่างไกลจากพ่อแม่ เขาจึงรู้สึกถึงความอิสระ

ฎีกาที่ขุนนางใหญ่กลุ่มนั้นทูลถวายขึ้นมา ตัวหนังสือที่เขียนด้วยพู่กันคนหนึ่งเขียนดีกว่าอีกคนหนึ่งเขาก็หลายปีที่ไม่ได้เขียนตัวหนังสือด้วยพู่กันแล้ว ก็ตอนตรวจอ่านฎีกาไม่ใช่ทำเครื่องหมายถูกก็คือทำเครื่องหมายผิด ตอนนี้จะให้เขาเขียนตัวหนังสือด้วยพู่กันในใจ หวิวหวิว นะ

เขามองดูป๋ายหลิง ทั้งมองดูเฟยเหยียน หญิงทั้งสองล้วนมีสีหน้าที่ตื่นเต้นและเฝ้าหวังเต็มใบหน้านะ เฮ้อ พี่ดูเหมือน......ไม่มีทางออกแล้ว...

เขาถอนหายใจ เฮ้ย เสียงเบาๆ “เอ่อ ตัวหนังสือข้าน้อยน่าจะมีนิด....มีนั่นนิดหน่อย แม่นางทั้งสองอย่าหัวเราะเยาะ”

ที่เขาพูดนั้นคือความในใจ ตัวหนังสือที่เขียนด้วยพู่กันของพี่เขียนได้ไม่ค่อยดีเท่าไร อย่าหัวเราะเยาะพี่เด็ดขาดนะ พี่ถือว่าพูดขายหน้าตัวเองก่อนแล้วนะ

ป๋ายหลิงกับเฟยเหยียนไม่ได้นัดกันเปิดตาขาวพร้อมกัน แกล้ง เธอแกล้งไปเถอะ มีพรสวรรค์วรรณกรรมเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องเขียนตัวหนังสือที่สวยงามดั่งมังกรบินหงส์เต้นรำล่ะ

ยุคที่หนักบุ๋นเบาบู๊นี้ เป็นยุคของนักกวีที่มีชื่อดังคุณธรรมสูงส่งที่ยิ่งใหญ่บริสุทธิ์ นักศึกษาไม่เพียงต้องศึกษารู้จักหนังสือ ยิ่งต้องฝึกเขียนตัวหนังสือ นี่เป็นหนึ่งในการบ้านที่ต้องปฏิบัติ

ตัวหนังสือคืออิฐเคาะประตูเครื่องมือสู่ความสำเร็จ แม้ว่าเธอด้อยความสามารถความรู้ตื้นเขิน เพียงแต่มีใจขอเล่าเรียน ไม่ใช่พวกที่เอ้อระเหยลอยชายพวกนั้น ผู้ดีอันธพาลที่ไม่เล่าเรียนไร้ความสามารถ นักศึกษาคนไหนที่ไม่เขียนลายมือดีๆล่ะ?

แน่นอน จะสร้างตัวหนังสือที่เขียนด้วยพู่กันสไตล์พิเศษออกมา ถ้าไม่ใช่ช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงเป็นปรมาจารย์ ไม่รู้ว่าเขียนพู่กันพังไปแล้วเท่าไร ฝึกฝนไปแล้วกี่ปี จึงสามารถสร้างสไตล์ที่ไม่ซ้ำกันออกมาได้

สร้างสไตล์ที่ไม่ซ้ำกันออกมาไม่ได้ เธอก็น่าจะสามารถคัดลอกได้นะ?

ความคิดของป๋ายหลิงกับเฟยเหยียนล้วนเหมือนกัน คุณชายเย่ถ่อมตนเกินไปแล้วจริงๆ แต่ว่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ ยิ่งกระชากดึงความรู้สึกดีและความเคารพเชิดชูในใจของเขาทั้งสอง ชายดีเช่นนี้มีเพียงหนึ่งในโลกนะ!

เย่เทียนจะรู้ได้อย่างไรว่าหญิงทั้งสองในใจคิดสับสนเช่นนี้ จินตนาการเขาดั่งเหมือนอริยปราชญ์ที่งดงามสมบูรณ์เช่นนี้ แต่ว่าตาขาวออดอ้อนไม่พอใจเล็กน้อยของหญิงทั้งสองที่ส่งมา น่าทึ่งอย่างลึกซึ้ง ทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก


ชีวิตจักรพรรดิของข้า
คุณสามารถใช้ปุ่มลูกศรซ้าย/ขวาเพื่อถอยหลัง/ไปข้างหน้า
ประเมิน: 10.0/10 จาก 15 โพล
loading...