ชีวิตจักรพรรดิของข้า

บทที่ 8 มาชีวิตสัมหาอันใดด้วยกันเถอะ

บทที่ 8 มาชีวิตสัมหาอันใดด้วยกันเถอะ

เห็นฮ่องเต้เสวยอย่างเอร็ดอร่อย ซูจื่อหลุนและเจิ้งหลงจี ค่อยๆ ลอบถอนหายใจ เจิ้งหลงจี ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก

สวรรค์นั้นยากคาดเดา อยู่ใกล้ฮ่องเต้เหมือนอยู่ใกล้เสือ ในตอนนี้ในใจของเขาได้แต่ถอนหายใจอย่างห้ามไม่อยู่

เย่เทียนรับประทานอย่างสบายใจ ไม่นานก็อิ่มแปล้ แน่นอนว่า เหล้าเลิศรสที่มีนามว่ารสเลิศที่สุดในประเทศของราชวงศ์ เขาจิบไปได้หนึ่งอึกก็บ้วนออกมา หากเทียบกับเหล้าชั้นดีในสมัยปัจจุบัน คำวิจารณ์ของเขาที่มีต่อเหล้าระดับประเทศนี้มีเพียงหนึ่งคำ-------แย่!

การกระทำของเขา ทำให้ซูจื่อหลุนและเจิ้งหลงจี ที่เพิ่งถอนหายใจกลับมาตื่นตระหนกอีกครั้ง เจิ้งหลงจี เหงื่อยิ่งออกมากกว่าเดิม หรือว่าสุรามีปัญหา

อาหารทุกอย่างที่ฮ่องเต้เสวยล้วนแล้วแต่มีนางกำนัลและขันทีมหาดเล็กทดลองก่อนทั้งนั้น หนึ่งคือเพื่อป้องกันการวางยาพิษ สองคือชิมรสชาติอาหาร หากเหมาะสมจึงจะอนุญาตให้นำขึ้นโต๊ะเสวย ให้ฮ่องเต้ได้ลิ้มรส

เย่เทียน ลุกขึ้นยืน มองจ้อง เจิ้งหลงจี กล่าวว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป อาหารของข้ากับข้าวสามอย่างและน้ำแกงหนึ่งอย่าง จำได้หรือไม่”

เจิ้งหลงจี ตกใจจนตัวสั่น รีบโค้งตัวลงกล่าวว่า “ตอบฝ่าบาท หม่อมฉันจำ......จำได้แล้วพะยะค่ะ”

เขาแอบส่งสายตาสงสัยเป็นคำถามไปยังซูจื่อหลุน ซูจื่อหลุนก็ได้แต่ส่ายหัว ในใจเขาก็หงุดหงิดเหมือนกัน วันนี้ฮ่องเต้เป็นอะไรไป

“นำทาง ไปตำหนักของ พระสนมจิ่น” เย่เทียน คิดได้ว่าเมื่อซักครู่ที่ผ่านมาถูก พระสนมลี่ ยั่วยวนทำให้เข็ดเคี่ยวเคี้ยวฟัน เจ้ากล้ามายั่วยวนพี่ พี่ก็จะยั่วเจ้ากลับบ้าง เฮอะ วังหลังสาวงามถมเถไป แค่นางกำนัลรับใช้สาวๆ ก็ละอ่อน สะสวยทั้งนั้น พี่มีเหรอที่จะขาดสาวงาม

เขาอยากไปตำหนัก พระสนมจิ่น แต่ฮ่องเต้ผีไม่เคยมีไมตรีกับ พระสนมจิ่น มาก่อน ในความทรงจำที่ขาดหายของเขาแน่นอนว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับ พระสนมจิ่น อยู่เลย เย่เทียน ไม่รู้ว่า พระสนมจิ่น พักอยู่ตำหนักไหน ได้แต่ให้คนพาไปเท่านั้น

มีขันทีผู้น้อยนำทางไปข้างหน้า ซูจื่อหลุน หัวหน้าขันทีฝ่ายในรับใช้อยู่ข้างกาย เย่เทียน เดินไปได้สองเก้า พลันหยุดลง หันกลับไปกล่าวกับผู้ดูแลห้องครัว เจิ้งหลงจี ว่า “พวกพระสนมก็เป็นกับข้าว 5 แกงหนึ่งแล้วกัน”

เจิ้งหลงจี รีบค้อมกายลงรับบัญชา รอจนฮ่องเต้เสด็จไปแล้ว เขาก็รีบไปดื่มเหล้ากาที่ฮ่องเต้ดื่มไปเมื่อซักครู่ ค่อยๆ ลิ้มรสอย่างระวัง

เหล้าฉุ่ยหยางชวน เหล้าเป็นเครื่องบรรณาการจากตระกูลเฉา เรียกได้ว่าเป็นเหล้าชั้นยอดของประเทศโจว รสชาติยังคงเป็นรสเดิม เหมือนกับที่ฝ่าบาททรงดื่ม ไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำไมฝ่าบาทขมวดคิ้วบ้วนเหล้าออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกใจเหล้านี้

นี่ทำให้เขาเริ่มมึนงงขึ้นมา ใจฮ่องเต้ยากคาดเดาจริงๆ เขาเอามือลูบเหงื่อที่ผุดซึมบนหน้าผาก ดูท่าเขาจะต้องขอความรู้จาก หัวหน้าซู ซักครั้ง มิเช่นนั้น หากวันไหนทำอะไรให้ฝ่าบาททรงกริ้ว หัวที่ใช้กินข้าวอาจจะต้องย้ายที่อยู่แล้ว

เย่เทียนเดินมาถึงตำหนัก วังเฉิยนชิง พร้อมด้วยมหาดเล็ก นางกำนัลและขันทีที่รายล้อม มหาดเล็ก ขันที นางกำนัลที่รออยู่ด้านนอกพากันทำความเคารพ การมาเยือนของฮ่องเต้

มีขันทีผู้น้อยคนหนึ่งจะเข้าไปทูลเชิญ พระสนมจิ่น ให้เสด็จออกมาต้อนรับฮ่องเต้ เย่เทียน โบกมือห้าม เขาให้พวกคนเหล่านั้นรออยู่ด้านนอก ตัวเองเข้าไปผู้เดียว

ภายในห้อง พระสนมจิ่น ที่เพิ่งสรงน้ำเสร็จปล่อยผมสบายกระจายเต็มแผ่นหลัง บนตัวสวมชุดคลุมที่บางราวปีกจักจั่น เปียกแนบสัดส่วนทำให้ชวนหลงใหล ดวงหน้าที่มิได้มีการตกแต่งใดใดปรากฏสีเลือดแดงปลั่งขึ้นมา ราวกับผิวน้ำ ท่าทางสง่ายังมีความเย้ายวนเปล่งออกมาอยู่หลายส่วน

เวลานี้เป็นเวลาค่ำ โคมไฟภายในตำหนักต่างพากันส่องแสง ภายใต้แสงนวล เธอกับนางกำนัลคนสนิทกำลังก้มลงมองดูอะไรซักอย่าง สีหน้าของทั้งสองแดงระเรื่อ

บางทีอาจะเป็นเพราะจดจ่อมากเกินไป ทั้งสองจึงไม่รับรู้ว่า เย่เทียน เดินเข้ามา

ด้านนอกมีขันทีและนางกำนัลรออยู่ หากเป็นสถานการณ์ปกติ ไม่มีใครกล้ายุ่มย่ามบุกเข้ามา มิเช่นนั้น ต้องโทษประหารทั้งตระกูล ต่อให้ใครขอเข้าพบ ขันทีและนางกำนัลจะต้องร้องรายงานบอก พระสนมจิ่นและสี่เอ๋อ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนลอบเดินอย่างไร้เสียงเข้ามา

เย่เทียนเดินผ่านผ้าบางเบา เดินเข้ามาภายในตำหนักด้วยตัวเอง เห็น พระสนมจิ่นและสี่เอ๋อ กำลังก้มลงมองอะไรอยู่ ก็เกิดความอยากรู้ขึ้นมา ค่อยๆ เดินย่องเข้าไปหา ไปจึงถึงด้านหลังของ พระสนมจิ่น

พระสนมจิ่น รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หันกลับมามองเห็น ตามมาด้วยเสียงร้องตกใจ มือไม้สาละวนรีบม้วนเก็บซ่อนผ้าไว้ด้านหลัง

“ฝ่า...ฝ่าบาท” สี่เอ๋อ ก็ตกใจเหมือนกัน รีบค้อมกายทำความเคารพ

“ที่รัก ในมือถืออะไรอยู่เหรอ” เย่เทียน ถามอย่างยิ้มๆ จริงๆแล้ว เขามองเห็นแล้ว บนผ้าผืนนั้นปักไอ้อย่างนั้นอยู่ เย็บอย่างประณีต คนเคลื่อนไหวราวมีชีวิต ของแบบนี้หากเอาไปในสมัยปัจจุบัน แน่นอนว่าราคาต้องมหาศาลแน่

“ฝ่า....ฝ่าบาท....” พระสนมจิ่น ที่อายจนแก้มแดงปลั่งกล่าวเสียงตะกุกตะกัก “ฝ่า....ฝ่าบาทมาตอนไหนเพคะ...”

เธอและสี่เอ๋อกำลังดูเมื่อออกเรือน เป็นรูปชุนกงถูที่พี่สามยัดใส่มือเธอ เมื่อสตรีออกเรือน ผู้ใหญ่ในบ้านจะแอบบอกเรื่องคืนวันเข้าหอว่าจะต้องทำตัวอย่างไหร่ รูปชุนกงถู นี่ก็คือเป็นความรู้ตามหลักอย่างหนึ่ง

สตรีที่บ้านยากจนหาออกเรือน ปกติก็จะเป็นรูปวาดในกระดาษ สตรีในตระกูลมั่งคั่ง ปกติก็จะเป็นผ้าไหมปักเย็บที่มีราคา

เพิ่งเคยผ่านเรื่องชายหญิงมาเย่เทียนที่อยากจะปลดแอกการกระทำรุนแรง ทำให้พระสนมจิ่น มีบาดแผล ในใจก็พลันกลัวขึ้นมา ไม่เหมือนกับพี่สามที่ได้แต่งออกไปก่อนนานแล้วบอกเอาไว้ แต่เธอรู้สึกว่าพี่สามไม่ได้โกหกเธอ จงใจให้เธอเกิดความสงสัย หลังจากกลับมาที่ตำหนัก ก็หยิบรูปปักชุนกงถูนี่มาศึกษา

คนหนึ่งเพิ่งเคยผ่านมือชายครั้งแรก อีกคนไม่เคยผ่านมือชาย จะถกเถียงหาข้อสรุปกันได้ กลับเป็นยิ่งดูยิ่งหน้าแดง ใจพลันเต้นตึกตัก ร่างกายเกิดความร้อนวาบขึ้นมา ร่างกายอ่อนระทวย ไร้เรี่ยวแรงบ้างเล็กน้อย

เรื่องที่น่าอายเช่นนี้กลับถูกฮ่องเต้เห็นเข้า พระสนมจิ่น อายจนแทรกแผ่นดินหนี รีบหาช่องยัดเข้าไป

สาวงามเอียงอายเป็นอย่างมาก แก้มทั้งสองแดงสุก ดูราวกับดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิเดือนมีนาคม ดูชวนหลงใหลไปอีกแบบ เย่เทียน กลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างห้ามไม่อยู่

ตอนที่ปลดเปลื้องนั้น เขารู้สึกว่าพระสนมจิ่น เป็นสาวบริสุทธิ์ ทำให้ เย่เทียน ที่ถือเรื่องความบริสุทธิ์ของสาวน้อยลอบดีใจ ในตอนนั้นก็โอบกอดเธออย่างยิ้มแย้ม กล่าวอย่างเบาข้างหูเธอว่า “ที่รัก เรื่องแบบนี้ คนเดียวจะไปรู้อะไร พวกเรามาศึกษาด้วยกันดีกว่า ค้นหาความอัศจรรย์ในนั้นกันดีกว่า นั่นถึงเรียกว่าแก่นของชีวิต”

“ฝ่าบาทเยาะเย้ยหม่อมฉันแล้ว...” พระสนมจิ่น อายจนเอาหัวมุดเข้าไปในอ้อมกอดเขา ท่าทางเขินอายนั้นยิ่งทำให้มีเสน่ห์ดึงดูดมากเข้าไปอีก

แต่งงานเข้าวังมาได้ปีกว่า ฝ่าบาทได้แต่หลงใหลใน พระสนมลี่ คนเดียว ทำให้เธอมักจะถอนหายใจกับชีวิตของตัวเองที่ยังเทียบไม่ได้กับสาวชาวบ้าน อย่างน้อย พวกเธอก็ได้ก้าวข้ามความเป็นผู้หญิงสาว มีคู่ชีวิตเคียงข้าง พลอดรักจีบหวานใส่กัน มีความสุขเล็ก ๆ ตามประสา

จนถึงทุกวันนี้ ฮ่องเต้ในที่สุดก็เห็นเธอ ทำให้เธอดีใจแต่ก็แอบกังวลใข กังวลว่าฝ่าบาทจะเป็นความรู้สึกแค่ไฟไหม้ฟาง หลังจากนั้นก็จะกลับไปหลงใหล พระสนมลี่ ทอดทิ้งเธอ

ในช่วงกลางดึก ฮ่องเต้ในที่สุดก็มา ทำให้ใจของเธอพองโตดีใจอย่างล้นเหลือ และยังมีความสุขเล็ก ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ประหม่าอย่างมาก ความเจ็บปวดในคราแรกนั้นเธอยังคงหลงเหลือความหวาดกลัวอยู่

แต่ในฐานะภรรยา คนที่ได้รับการอบรมหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาอย่างเธอจะปฏิเสธสามีได้อย่างไรกัน

ในเวลานี้ ทั้งดีใจและก็หวาดกลัวไปพร้อมกัน ในใจขัดแย้งสับสนไม่หยุด


ชีวิตจักรพรรดิของข้า
คุณสามารถใช้ปุ่มลูกศรซ้าย/ขวาเพื่อถอยหลัง/ไปข้างหน้า
ประเมิน: 10.0/10 จาก 15 โพล
loading...