พ่ายรักสาวพรหมจรรย์
บทที่ 2 (1)
บทที่2
ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าทำหน้าที่ฉายแสงสว่าง ปลุกทุกชีวิตให้เริ่มตื่นขึ้นมาดำเนินไปตามวิถี นกหลายตัวจับอยู่บนยอดไม้และสายไฟ ส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ และพากันบินพึ่บพั่บอย่างตกใจเมื่อมีหญิงชราร่างผอมบางใบหน้ามีแต่ริ้วรอยเหี่ยวย่นเดินงกเงิ่นมาใกล้ถิ่นที่พวกมันอาศัยอยู่ ในมือของนางมีตะกร้ากระดาษหิ้วติดมือมาด้วย ก่อนจะหันไปมองด้านหลังเมื่อได้เสียงจักรยานยนต์คันเก่าของหลานสาวนอกไส้ขับขี่มาจอดที่หน้าบ้านหลังเล็ก
“เอากระดาษมาพับอีกแล้วนะยาย หนูบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำอะไร เดี๋ยวเหนื่อยจนไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไงคะ” พราวดาวเดินแกมวิ่งเข้ามาหาหญิงชรา เธอรีบวิ่งดึงตะกร้าออกจากมือของอีกฝ่าย
“ยายอยู่ว่างๆก็อยากจะช่วยหาเงิน”
“ไม่ต้องช่วยอะไรเลยค่ะ ยายอยู่เฉยๆจะดีกว่า มากินข้าวเถอะ วันนี้หนูซื้อต้มจืดเต้าหู้มา” หญิงสาวเดินหิ้วตะกร้าพร้อมกับของกินที่หอบหิ้วเข้ามาจากร้านค้าขาประจำเดินนำหญิงชราเข้าบ้าน
“ดาวดีกับยายเหลือเกิน” เสียงแหบเครือเอ่ยขึ้นมาอย่างตื้นตันใจ “ทั้งที่ไม่ใช่ญาติแต่กลับดูแลยิ่งกว่าญาติเสียอีก”
“อย่าคิดมากสิคะยาย หนูกับยายก็ต่างดูแลกัน เรามีกันสองคนยายหลานนะคะ” หญิงสาวหันมายิ้มหวานให้กับยายฟักที่เธอบังเอิญไปเจอตอนนอนฟุบอยู่ริมถนนในช่วงที่เธอกำลังกลับบ้าน
เพราะเธอเห็นว่าเป็นคนแก่คงจะไม่มีพิษภัยอะไร อีกทั้งยังป่วยเธอจึงรับมาอุปการะดูแลจนยายฟักมีอาการดีขึ้น และเธอก็ได้รับรู้เรื่องราวที่น่าสงสารของหญิงชราผู้นี้
ยายฟักเล่าว่านางถูกลูกสาวทอดทิ้งและไม่มีที่ไป พราวดาวจึงดูแลนางเหมือนญาติสนิทเพราะรู้สึกต้องชะตาโดยไม่คิดว่าจะเอาบุญคุณอะไรกับคนแก่
“นี่ถ้าหลานชายของยายยังอยู่ด้วยก็คงดี”
“ยายอย่าคิดมากสิคะ อยู่กับหนูยายไม่มีความสุขเหรอ”
“มีสิ ยายมีความสุขมาก”
“มีความสุขก็ดีแล้วค่ะ อย่าคิดมากนะคะ คนเราถ้ามีบุญวาสนาต่อกัน หนูเชื่อว่าสักวันหลานชายของยายก็ต้องมาตามหายายจนเจออย่างแน่นอน”
“จ้ะ ยายเชื่อหนู กินข้าวกันดีไหม ยายเริ่มที่จะหิวแล้ว”
“ค่ะ ยายกินก่อนเลย”
หญิงสาวเทกับข้าวใส่ลงในชาม มีทั้งต้มจืดและปลาสลิดทอด จากนั้นเธอก็หันมาตักข้าวใส่จานส่งให้ยายฟัก หญิงสูงวัยรับจานข้าวมาด้วยความซาบซึ้ง นางอยู่กับพราวดาวมาเกือบสี่ปีและคิดเสมอว่านางเป็นผู้อาศัย แต่หญิงสาวกลับปฏิบัติต่อนางเหมือนญาติสนิท หรืออาจจะมากกว่าเพราะพราวดาวเลี้ยงดูนางดีกว่าลูกสาวแท้ๆของนางเสียอีก
“ขอบใจหนูมากนะพราวดาว หนูช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน” น้ำเสียงของยายฟักสั่นเครือ
“ไม่เป็นไรค่ะ ยายเลิกขอบใจหนูได้แล้ว” รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของพราวดาวเปิดกว้าง “ รีบกินข้าวเถอะค่ะ เสร็จแล้วก็นอนพักนะคะไม่ต้องทำอะไร”
“แล้วหนูดาวจะทำอะไรเหรอถึงไม่กินพร้อมกัน”
“หนูจะทำงานก่อนค่ะยาย” หญิงสาวยิ้มเมื่อคิดถึงงานอีกอย่างที่เธอรักและยึดเป็นอาชีพเสริมนอกจากงานประจำที่เป็นพนักงานขายของในห้าง
“อย่าทำงานหนักมากนะหนู เดี๋ยวต้องออกไปทำงานอีก ยายไม่อยากให้หนูเหนื่อยเกินไป”
“ค่ะ ยายไม่ต้องเป็นห่วง หนูยังไหว” พราวดาวตอบ “กินเยอะๆนะยาย จะได้แข็งแรง” เธอบอกอีกครั้งก่อนจะลุเดินไปเพื่อทำงานตามที่เธอบอกกับหญิงชรา
ยายฟักตักข้าวเข้าปาก สายตาเลื่อนลอยเหม่อไปเบื้องหน้าพร้อมคิดไปว่า… ทำไมลูกสาวเพียงคนเดียวของนางถึงไม่ดีเหมือนพราวดาว
นางเฝ้าแต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า....ทำไมหนอ ?
เพราะเมื่อคืนมัวออกท่องราตรีกับนพคุณจนถึงรุ่งสาง ทำให้เช้าวันนี้กิติศักดิ์มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง นี่กระมังที่เขาเรียกว่าอาการเมาค้าง เขาลุกขึ้นนั่งทบทวนถึงสาเหตุที่เขาไปนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อน
เขาไม่อยากยอมรับว่าได้เก็บเอาภาพของพนักงานขายสินค้าที่ปะทะคารมกันมาคิดจนเกิดความเหงาขึ้นมาอย่างกะทันหัน และเพื่อที่จะดับความฟุ้งซ่าน เขาจึงออกไปเที่ยวในผับ ทว่าพอเขาได้ออกไปอยู่ท่ามกลางสาวสวยพร้อมแสงไฟหลากสี เขากลับไม่รู้สึกอยากสานสัมพันธ์กับผู้หญิงพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าสาวๆเหล่านั้นจะคอยชำเลืองตาแลมาให้เขาเป็นระยะ แต่เขากลับเฉยเมยจนนพคุณแซว
ก๊อกๆๆ
ความคิดของชายหนุ่มหยุดชะงักเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาลากเท้าไปเปิดประตูเหมือนคนสิ้นเรี่ยวแรง
“ตื่นมาทำไมแต่เช้า” กิติศักดิ์ถามหนุ่มผิวขาวนัยน์ตาชั้นเดียวที่ชอบเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขาเสียงแข็ง
พ่ายรักสาวพรหมจรรย์