องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

บทที่ 390 อ๋องเย่เกรงกลัวภรรยา

มู่เหมียนหน้าเศร้าสร้อย: “ท่านช่างเล่นลิ้นเก่งจริงๆ แต่แม้ว่าสิ่งที่ท่านกล่าวจะถูกต้องทั้งสิ้น ท่านไม่กลัวว่าหนานกงเย่กลับมาจะมาคิดบัญชีกับท่านหรือ? ท่านยังจะไปหาเขา ตอนนี้ท้องของท่านก็ใหญ่เช่นนี้ท่านไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องหรือ?”

“เขากลับมาท่านก็จากไปก่อนไม่ให้เขาพบเจอ ต่อไปพวกเราพบเจอกันด้านนอกเขาก็จะไม่มีทางหาเรื่องได้ ส่วนเรื่องท้องของข้านั้นข้าคิดว่าไม่เป็นไร”

“เช่นนั้นท่านคิดว่าไม่เป็นไรก็ทำตามที่ท่านบอกเถอะ ข้าอย่างไรก็ได้”

หลังจากพูดคุยกับมู่เหมียนเรียบร้อยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นให้อาอวี่ไปยังร้านตัดเย็บเสื้อผ้าเรียกอวิ๋นจิ่นมาและยังเขียนจดหมายถึงอวิ๋นหลัวฉวนอีกด้วย

ทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นรอเป็นเวลาสองวันแล้ว

ในสองวันนี้แม่ทัพฉีนั้นวิตกกังวลแทบแย่ คอยรอข่าวคราวของหนานกงเย่ซึ่งไม่มีเลย

ฉีเฟยอวิ๋นนั้นไม่ได้อยู่เปล่าๆ นางให้คนพาครอบครัวผู้ที่ฟังจังหวะเสียงดนตรีทั้งสามคนมายังจวนอ๋องเย่

อันดับแรกสังเกตสถานการณ์ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหนึ่งวัน

คนนั้นไม่ได้โง่เขลามากนัก ฉีเฟยอวิ๋นตัดสินใจลองสะกดจิตเขาในตอนนี้

ฉีเฟยอวิ๋นนั้นก็ไม่ได้ชำนาญและยังต้องไปในสถานที่ที่ปิด หากควบคุมไม่ดีเกรงว่าจะเกิดเรื่อง

ดังนั้นนางจึงให้อาอวี่เฝ้าอยู่ตรงหน้าประตู หากเกิดเรื่องขึ้นอาอวี่ก็เข้าประตูมาได้ทันที

ดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ครู่หนึ่งแล้วปลุกคนให้ตื่นสังเกตโดยละเอียดและถามเรื่องราวบางอย่างแต่กลับสับสนยิ่งนัก

“เจ้าชื่อว่าโฮ่วเซิง พ่อแม่ของเจ้าเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เจ้าอยู่กับปู่และย่าของเจ้า พวกเขาเลี้ยงดูเจ้าเติบใหญ่อย่างยากลำบาก เจ้าเกิดป่วยหนักและจำสิ่งใดไม่ได้จึงได้มาหาข้าที่นี่ ตอนนี้เจ้าสบายดีแล้วเพียงแค่จำพวกเขาไม่ได้ เจ้าต้องกตัญญูต่อพวกเขา เพื่อเจ้าแล้วพวกเขาทุกข์ยากลำบากมากมาย”

“……”โฮ่วเซิงรีบวิ่งออกไปพร้อมทั้งร้องเรียกท่านปู่ท่านย่าไปด้วย

ออกประตูไปก็เห็นสามีภรรยาชราคู่หนึ่งอยู่ตรงนอกประตู

สามีภรรยาชราเห็นหลานชายพูดได้แล้วก็ทั้งประหลาดใจและยินดี ทั้งสามคนจึงได้กอดกันร้องไห้

ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งครอบครัวกอดคอกันร้องไห้ก็โล่งใจยิ่งนัก

นางไม่เข้าใจการสะกดจิตแต่ว่านางสามารถเรียนรู้ได้

และของสิ่งนี้ก็สามารถศึกษาค้นคว้าได้

เมื่อเห็นว่าโฮ่วเซิงไม่เป็นไรแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไป: "เขาจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร ข้าจึงตั้งชื่อให้เขาให้เขาชื่อว่าโฮ่วเซิง"

“อืม ดี ดี......”

หญิงชราตอบรับครั้งแล้วครั้งเล่าจากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นและดึงโฮ่วเซิงให้คุกเข่าลงด้วย

คนทั้งครอบครัวคุกเข่าลงบนพื้นและใช้ศีรษะคำนับฉีเฟยอวิ๋น

“ขอบพระคุณท่านผู้สูงศักดิ์ ขอบพระคุณท่านผู้สูงศักดิ์......”

นางก็คือพระชายาเย่ที่พวกเจ้ากำลังหาแต่ว่านางไม่ได้มีสามเศียรหกแขนและไม่มีเขางอกขึ้น นางเป็นพระชายาของท่านอ๋องของเรา ดังนั้นคือพระชายาเย่”

ครอบครัวของหญิงชราลุกขึ้นแล้วจ้องมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นอย่างตกตะลึง

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: "ก็ไม่ง่ายสำหรับพวกเจ้า ข้าให้พ่อบ้านนำเงินมาให้พวกเจ้าจำนวนหนึ่ง พวกเจ้ากลับบ้านกันไปเถอะ"

“……เช่นนี้จะดีหรือ?" หญิงชราน้ำตาไหลรินเป็นทาง เป็นครั้งแรกที่รักษาอาการป่วยจนหายแล้วและยังไม่รับเงินแต่กลับให้เงินแก่พวกเขาแทน

“ไม่มีสิ่งใดไม่ดี จวนอ๋องของเรามีเงิน พวกท่านกลับไปต้องใช้เงินพวกท่านรับเอาไว้เถอะ”

“ขอบพระคุณ ขอบพระคุณท่านผู้สูงศักดิ์” หญิงชราขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางแก้คำเรียกไม่ได้จึงเรียกผู้สูงศักดิ์ซึ่งคล่องปาก

อาอวี่ใบหน้าขบขันแล้วนำเงินไปให้พวกเขา

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าการทำความดีก็เป็นความสุข หันหลังกลับแล้วจากไปเลย

วันรุ่งขึ้น

ตอนเช้าฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นเพิ่งจะออกประตูก็เห็นครอบครัวของหญิงชรารออยู่ตรงหน้าประตู

ฉีเฟยอวิ๋นสหน้าประหลาดใจ: "เมื่อวานไม่ได้จากไปหรือ?"

“พระชายา โปรดรับพวกเราเอาไว้ด้วย” หญิงชราจูงหลานชายและสามี ทั้งสามคนในครอบครัวก็คุกเข่าลงแล้ววางเงินในมือให้กับฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นก้มศีรษะลงอย่างประหลาดใจ: “พวกเจ้าไม่อยากกลับไปบ้านเกิดหรอกหรือ?”

การเดินทางไกลที่ยากลำบากกลับไปไม่รู้ว่ากระดูกเก่าแก่นี้จะยังไหวหรือไม่

และ

,ไม่รู้ว่าโรคเก่าของโฮ่งเซิงจะกำเริบอีกหรือไม่ หากพวกเราจากไปแล้วเกิดเรื่องขึ้นค่อยกลับมา พวกเราเกรงว่าจะสายเกินไป

พระชายาพวกเราแก่ชราแล้ว แต่พวกเราขยันขันแข็งสามารถทำงานได้มากมาย เพียงแค่พระชายายอมรับเราเอาไว้ ถึงพวกเราจะเป็นวัวเป็นม้าก็เต็มใจ

สำหรับโฮ่วเซิงนั้นเขายังเด็ก เขามีเรี่ยวแรงมาก เขาสามารถทำงานได้มากมาย ขอร้องพระชายาโปรดรับพวกเราไว้ด้วย"

“เช่นนั้นก็ลุกขึ้นเถอะ ในจวนมีกฎเกณฑ์มากมาย

“ได้ พวกเราจะจดจำกฎระเบียบเอาไว้ให้มั่น” หญิงชราเป็นดังเสาหลักของครอบครัวผู้ที่กล่าวสิ่งใดก็คือสิ่งนั้น ทุกอย่างนั้นนางเป็นผู้ตัดสินใจ

ฉีเฟยอวิ๋นมองดูพ่อบ้านสั่งพ่อบ้านให้พาทั้งสามคนลงไปแล้วจึงออกประตูไป

อวิ๋นจิ่นรออยู่ตรงหน้าประตูตั้งนานแล้ว เห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบก้าวไปด้านหน้า: "นายท่าน"

“ให้เจ้าเรียกข้าว่าอวิ๋นอวิ๋น เจ้านั้นจำไม่ได้สักที” ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นรถม้าไป อวิ๋นจิ่นโค้งตัวแล้วเดินตามขึ้นไป

ในรถม้านั้นนั่งกันอยู่สองสามคน อวิ๋นหลัวฉวนก็อยู่ในนั้นด้วย เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วรู้สึกเป็นกังวล: "ท่านคิดวางแผนจะไปที่ชายแดนจริงๆหรือ?"


องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ
คุณสามารถใช้ปุ่มลูกศรซ้าย/ขวาเพื่อถอยหลัง/ไปข้างหน้า
ประเมิน: 10.0/10 จาก 47 โพล
loading...